สารบัญเว็บไซต์

สารบัญเว็บไซต์ !

ความคิดของคนรวยตอนที่1

      ความคิดของคนรวยตอนที่1นี้เป็นตอนที่ต่อจากความคิดของคนรวยตอนแรกนะครับ 5ความคิดแรกที่ได้อ่านไปแล้วนั้น อาจจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเปลี่ยนวิธีคิดหรือสร้างวิธีคิดใหม่ๆขึ้นมาได้ ในบทนี้จะเล่าต่อถึงความคิดของคนรวยอีก 4 ตอน เพื่อให้ผู้อ่านมีแนวคิดเพิ่มขึ้นในการดำเนินชีวิตครับ

 แนวคิดจากประวัติของสตีฟ จอบส์ อัฉริยะเปลี่ยนโลก


       คนทั่วไปจะจัดการกับปัญหาเรื่องเงินด้วยอารมณ์ แต่คนรวยจะจัดการปัญหาเรื่องเงินด้วยสมอง
       ปัญหาเรื่องเงินน่าจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของคนจน สิ่งที่คนจนมักจะต้องเผชิญอย่างหลีกหนีไม่พ้นคือ บิลค่าใช้จ่ายสารพัดที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นปัญหาดังกล่าวจะยิ่งรุนแรงทวีคูณขึ้นไปอีกเมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผิดนัดค่าเช่าบ้านหรือค่าผ่อนบ้าน ผิดนัดค่าผ่อนรถ ผิดนัดค่าผ่อนบัตรแล้วก็ให้เกิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นไปอีก ทำให้เกิดปัญหารุมเร้ากระหน่ำซ้ำเติมเข้าไปที่ใจคนยากจน แทบจะทุกลมหายใจ
       สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ คนจนมักจะไม่คิดจัดการกับปัญหาโดยตรง คนจนมักจะเลือกที่จะจัดการกับปัญหาด้วยอารมณ์ เช่น การบ่น การด่า การต่อว่า และการแสดงการโต้ตอบต่างในทางลบกับปัญหาหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ  ในนขณะที่คนรวยใช้สมองในการจัดการกับปัญหาเรื่องเงิน เช่น การลดค่าใช้จ่ายหรือการลดหนี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การจัดการเคลียหนี้ทีละก้อน การรวบรวมหนี้ให้เป็นก้อนเดียว การเจรจาต่อรองหนี้กับเจ้าหนี้ วางแผนการผ่อนชำระ และอีกหลากหลายวิธีที่จะจัดการกับเรื่องเงิน ขอเพียงแต่เริ่มต้นด้วยสมอง ปัญหาเรื่องเงินและทุกเรื่องก็จะสามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
  
        คนทั่วไปมักจะหาเงินจากการทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ส่วนคนรวยจะพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ    
        ปีเตอร์ ลิน หนึ่งในนักลงทุนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ท่านรู้มั้ยครับว่า ก่อนที่ปีเตอร์ ลิน จะเข้าวงการการเงินและตลาดทุนนั้น เขาทำอาชีพอะไรมาก่อน ปีเตอร์ ลินทำอาชีพเป็นแคดดี้ในสนามกอล์ฟมาก่อนในมลรัฐแมสซาซูเสตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และแล้วปีเตอร์ ลิน ก็โชคดีได้เป็นแคดดี้ให้กับประธานบริษัทฟิเดลลิตี้ บริษัทลงทุนขนาดใหญแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เขาจึงร้องขอให้ประธานฯ รับเขาเข้าทำงานในฟิเดลลิตี้ 
       ปีเตอร์ ลินเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานฝึกงานที่ฟิเดลลิตี้ แต่ด้วยที่อาชีพการลงทุนเป็นอาชีพที่เขาชอบ เขาจึงทุ่มเททั้งชีวิตให้กับงานนี้ ปีเตอร์ ลินช์ ได้รับการเลื่อนตำแหน่งมาโดยตลอด เป็นนักวิเคราะห์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ และเป็นผู้จัดการกองทุนฟิเดลลิตี้เม็กเจลลันในปี 2544  ต่อมาปีเตอร์ ลินช์ ได้สร้างผลงานอันโดดเด่นที่ยากจะหาใครมาเสมอเหมือน กองทุนฟิเดลลิตี้เม็กเจลลันได้สร้างผลตอบแทนสูงถึง 29.2% ตลอดระยะเวลายาวนานถึง 13 ปีคือ ปี 2520-2533 มูลค่ากองทุนก่อนที่ปีเตอร์ ลินช์ จะเข้ามาบริหารอยู่ที่ 18,000 ล้านดอลลาร์ ก็ได้กลายเป็น 14 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นเป็น 778 เท่า ของเงินทองทุนเมื่อเริ่มต้น และนั่นคือ ผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกองทุนที่อายุไม่เกิน 20 ปี ที่ยังไม่มีใครสามารถลบสถิติได้จนถึงปัจจุบัน และนี่คือผลสำเร็จจากการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักนั่นเอง

       ความคิดของคนรวยต่อมาคือ คนทั่วไปจะพยายามตั้งเป้าหมายในชีวิตที่ค่อนข้างต่ำเพื่อจะได้ไม่ผิดหวัง ก็คือไม่ต้องไปหวังอะไรมันมาก ได้แค่นี้ก็พอแล้ว ประมาณนั้น แต่คนรวยจะตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้สูงๆ เพื่อท้าทายตนเอง
       ผมมีตัวอย่างของคนนึงที่เขาตั้งเป้ายหมายในชีวิตไว้สูงเลยทีเดียวเพื่อท้าทายตนเอง โดยการตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ว่า "เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินล้านภายในอายุ 20 ปี"  เขามีชื่อว่าคุณทิวา ชินธาดาพงศ์ หรือคุณมี่ คุณมี่เป็นที่ชอบคิดว่าอยากจะรวยเร็วๆ ดังนั้นหลังจากที่เรียนจบชั้น ม.3 คุณมี่ตัดสินใจไม่เรียนต่อม.4 แต่ไปยึดอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เขาตั้งเป้าที่จะหสเงินให้ได้อย่างต่ำวันละ 1,000 บาท แต่ทว่า บางวันลูกค้าน้อยมาก เขาต้องขี่มอเตอร์ไซค์ตั้งแต่ 6 โมงยันเที่ยงคืน เพียงเพื่อให้ทุกวันต้องได้เงิน 1,000 บาท  แม้ว่าจะยังไม่ประสบความสำเร็จกับการขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และเขายังต้องทำงานอีกหลายอย่างกว่าจะประสบความสำเร็จ เช่นเป็นมัคคุเทศน์ พนักงานขายประกัน ขายโทรศัพท์มือถือ และอีกสารพัด แต่ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในชีวิตจนได้ ทุกวันนี้อาชีพที่แท้จริงของคุณมี่ นักลงทุนเต็มตัว และมีเงินในบัญชีเป็นหลักร้อยล้านบาทแล้ว
       ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณมี่ประสบความสำเร็จได้มากถึงขนาดนี้คือ การตั้งเป้าหมายให้สูงๆนั่นเองครับ
                           "ท่านผู้อ่านละครับ มีเป้าหมายในชีวิตที่สูงหรือยังครับ"
       
      เมื่ออ่านความคิดของคนรวยมาถึงตอนนี้แล้ว ท่านผู้อ่านสังเกตบ้างไหมครับว่า คนรวยมักจะมีวิธีคิดที่เป็นลักษณะของตัวเอง ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ท่านผู้อ่านละครับ เริ่มเปลี่ยนวิธีคิดในการดำเนินชีวิตบ้างแล้วหรือยังครับ


------------------------------------------------------------------------------------------------------




ความคิดของคนรวย

       มีหนังสือเล่มหนึ่งมีชื่อว่า  How rich people think แปลว่า คนรวยคิดอย่างไร โดยคุณสตีฟ ซีโบลด์ หนังสือเล่มนี้สอนให้ผู้คนเปลี่ยนวิธีคิด ให้คิดในสิ่งที่ใหม่ๆ โดยเฉพาะ สอนให้รู้ถึง ความคิดของคนรวย ที่ทำให้คนรวยแตกต่างจากคนทั่วไป ผมขอยกตัวอย่างขึ้นมาประกอบซักเล็กน้อยนะครับ

       คนทั่วไปคิดว่าเงิน คือต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย แต่คนรวยคิดว่า ความยากจน เป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย  หนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก และเป็นกูรูนักลงทุนชื่อก้องโลก เขาคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์  เมื่อตอนที่เขาอายุ 6 ขวบ เขาเริ่มหาเงินโดยไม่มีความอายหรือรังเกียจในการหาเงินเลย เขาเริ่มด้วยการเคาะประตูบ้านทีละบ้านเพื่อเสนอขายหมาฝรั่ง น้ำอัดลม นิตยสารายสัปดาห์ ในช่วงที่เขาเรียนมัธยม เขาชื่อทำงานส่งหนังสือพิมพ์ ขายลูกกอล์ฟและแสตม เขาเริ่มยื่นเสียภาษีเป็นครั้งแรกขณะที่อายุเพียง 14 ปี พออายุได้ 16 ปี เขาก็หุ้นกับเพื่อนซื้อเครื่องพินบอลมาหลายเครื่ิอง เพื่อมาตั้งไว้ในร้านตัดผมหลายร้านที่เขารู้จักและคุ้นเคย สิ่งเหล่านี้ให้เห็ฯว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่เคยหรือรังเกียจในการหาเงินเลย

       ความคิดของคนรวยเรื่องแรกนี้ทำให้ท่านรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ กับการหาเงินของบัฟเฟตต์ มาดูเรื่องที่สองกันต่อนะครับว่าความคิดของคนรวยเค้ามีความคิดแบบไหนกันอีก

       เรื่องที่สองนั่นก็คือ คนทั่วไปคิดว่าความเห็นแก่ตัว เป็นสิ่งไม่ดี แต่คนรวยคิดว่าความเห็นแก่ตัวเป็นที่มาของอำนาจ
       ตัวอย่างหนึ่งของความเห็นแก่ตัว ที่เห็นได้ชัดในรอบหลายปีที่ผ่านมาคือ ผลงานของคนที่มีชื่อว่า จอร์จ โซรอส เป็นเรื่องที่ จอร์จ โซรอส โจมตีค่าเงินปอนด์ของอังกฤษ เป็ฯที่ทราบกันดีว่าสกุลเงินของอังกฤษเป็นสกุลที่ยอมรับกันทั่วโลกในฐานะอดีตมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลก การโจมตค่าเงอนปอนด์จึงด฿เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่โวรอส เป็นคนแรกที่ทำสำเร็จ  ในวันที่ 6 กันยายน พศ.2535 โซรอสรู้ดีว่ารัฐบาลอังกฤษต้องการให้อังกฤษเข่าร่าวมเป็นประเทศหนึ่งในกลุ่มยูโรโซน ดังงนั้นอังกฤษจะไม่อัตราดอกเบี้ยเพราะเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมกลุ่ม โซรอสจึงได้ทำงาน Shorting เป็นการเก็งกำไรค่าเงินปอนด์ประเภทหนึ่ง เป็นเงินมากกว่าหมื่นล้านปอนด์ เพื่อบีบให้อังกฤษลดค่าเงินปอนด์ และเพิ่มอัตราดอกเบี้ย วนที่สุดอังกฤษก็ทนกับภาวะกดดันจากการโจมตีไม่ไหวและประกาศลดค่าเงินปอนด์ เมื่อเงินปอนด์มีค่าน้อยลง โซรอสจึงเริ่มซื้อเงินปอนด์กลับมาในอัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกและนำไปคืิน จึงทำให้เขาได้กำไรอย่างมหาศาล ในขณะที่หลายธุรกิจในประเทศอังกฤษต้องล้มละลาย
       วิกฤตเศรษฐกิจ ต้มยำกุ้ง ในปีพศ. 2540 เกิดวิกฤตในประเทศไทยและกระจายไปทั่วเอเชีย ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากการเก็งกำไรค่าเงินของโซรอสนั่นเอง เราจึงสามารถเห็นภาพความเห็นแก่ตัว ของโซรอสที่เข้ามาโจมตีค่าเงิน และทำลายเศรษฐของประเทศที่อ่อนแอ
       แม้ว่าโซรอสจะเห็นแก่ตัวในการเข้าโจมตีค่าเงินและเศรษฐกิจของหลายประเทศ แต่ในทางกลับกัน โซรอสก็ได้บริจาคเงินมากกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ ให้กับโรงเรียน มหาวิทยาลัย มูลนิธิ และองค์กรการกุศลอื่นๆทั่วโลก จนถูกขนานนามว่า โรบินฮู้ด แห่งโลกการเงิน

       ความคิดของคนรวยเรื่องที่สามนั่นก็คือ คนทั่วไปคิดว่า ตัวเองต้องมีโชค มีฟุ้คบ้าง แต่คนรวยคิดว่าตัวเองต้องขัยน  โดนัลด์ ทรัม มหาเศรษฐีชาวอมเริกันผู้โด่งดังจากรายการทางทีวีที่มีชื่อว่า The Apprentice ทรัมเกิดมาในครอบครัวในฐานะที่ดี นับว่าเป็นที่โชคดีมาแต่เกิด แต่ที่ชีวิตของเขาไม่ได้ราบรื่นเอาเสียเลย สมัยเด็กๆ ทรัมป์ได้มีโอกาสไปโรงเรียนที่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงเเห่งหนึ่งของอเมริกาชื่อว่า เดอะคิวฟอร์เรสต์สกูลเป็นโรงเรียนที่พี่พี่ของเขาได้เรียนอยู่เเล้ว หลังจากทรัมป์เรียนไปได้ระยะหนึ่งเขาเริ่มมีปัญหากับเพื่อนเเละปัญหาอื่นๆตามมามากมาย จนในที่สุดพ่อเเม่ของทรัมป์ก็ตัดสินใจส่งเขาไปเรียนที่โรงเรียนการทหารเเห่งนิวยอค ที่นี่เขาต้องปรับตัวเองมากมายเพื่อรับกับสภาพเเวดล้อมที่มีระเบียบวินัยอย่างเข้มงวด ด้วยความพยายามของเขาเขาได้รับเกียรตินิยมเมื่อจบจากโรงเรียนเเห่งนี้ หลังจากนั้นเขาได้เริ่มศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ฟอร์ดเเฮม เมื่อจบเเล้วเเทนที่เขาจะทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของพ่อเขา ซึ่งมันเป็นชีวิตที่สบายไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากหนักเพียงเเต่รอคอยวันที่โชคจะมาหาเขาเท่านั้นเอง
       เเต่ทรัมป์กับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามเข้าเริ่มรู้ว่าการทำธุรกิจของอสังหาริมทรัพย์ต้องมีความรู้ทางด้านธุรกิจมากว่านัี้เเละควรจะต้องมีสายสำพันธ์กับนักธุระกิจหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เขาจึงพยายามสอบเข้าโรงเรียนธุรกิจชื่อวอร์ตัน ของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย เเละในที่สุดก็สาามารถสอบเข้าได้เเละสำเร็จการศึกษาในที่สุด ทรัมป์จึงเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของคนที่มีฐานะดีเเต่ยอมรอคอยให้โชคชตามากำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง เเต่กลับพยายามดิ้นรนขวนขวายวิ่งเข้าไปหาโชคดังกล่าวเเทน

        ความคิดของคนรวยความคิดที่ 4 คือ คนทั่วไปคิดว่า การศึกษาเท่านั่นที่จะทำให้รวยได้ เเต่คนรวยคิดว่าประสบการณ์ตั่งหากที่จะทำให้รวยได้
       บิล เกตส์ คือหนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลค เจ้าของอาณาจักรเครือบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ๋ของโลคที่มีชื่อว่า ไมโครซอฟท์ ทุกท่านคงคิดว่าเกตส์เรียนหนังสือเก่ง ถูกต้อง บิล เกตส์ เป็นคนที่เรียนเก่งมาก ในปี พ.ศ. 2516 เขาทำคะเเนน SAT ซึ่งเป็นการสอบภาคเข้ามาหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาได้คะเเนนสูงถึง 1590 คะเเนน จากคะเเนนเต็ม 1600 คะเเนน ด้วยคะแนนที่สูงมากดังกล่าวทำให้เขาสามารถสมัครไปเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกได้ตามที่ตั้งใจไว้
        ก่อนที่เกตส์จะเข้าฮาร์วาร์ดนั้น เค้ามีประสบการณ์ทางคอมพิวเตอร์มาตั้งเเต่อายุ 13 ปี โดยร่วมกับเพื่อนที่ชื่อ พอล อัลเลน ซึ่งต่อเขาก็กลายเป็นมหาเศรษฐี และหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของไมโครซอฟท์ เขาทั้งสองสามารถหารายได้จากความรุ้ดด้านคอมพิวเตอร์ที่มีอยุ่ เขาได้ใช้ประสบการณืร่วมกับอัลเลน หาเงินจากความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ได้เป็นจำนวนมาก และต่อมาก็ทำเงินได้อย่างมหาศาลจากธุกิจนี้ ซึค่งในที่สุดเขาก็เลิกเรียนหนังสือที่ฮาวาร์ดไป จนถึงทุกวันนี้ บิล เกตส์ ก็ยังไม่สำเร็จปริญญาตรีเลย

    ข้อคิดดีของบิล เกตต์ หนึ่งในมหาเศรษฐีของโลก เขาบอกว่า 11 เรื่องที่โรงเรียนไม่เคยสอนมีอะไรบ้าง มาฟังกันครับ


        ความคิดของคนรวยความคิดที่ 5 คือ คนทั่วไปมักจะคิดถึงวันเก่าๆ ส่วนคนรวยคิดถึงแต่อนาคต   สตีฟ จ็อบส์ เป็นชื่อหลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไอโฟน และผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลอีกหลายตัว ได้แสดงถึงตำนานแห่งนวัตกรรมอันยิ่งใหญ๋ของจ็อบ แทบจะไม่มีใครในโลกเลยที่จะมีความยิ่งใหญ่ได้เทียบเทียมกับเขาเลย
       จ็อบส์ เป็นเด็กกำพร้า เขาเติบมาด้วยการเลี้ยงดูของครอบครัวบุณธรรมตระกูลจ็อบส์ แม่บุญทำของจ็อบ คลารา สอนให้เขาอ่านหนังสือ และจ็อบส์อ่านหนังสือได้ก่อนที่จะเข้าโรงเรียนอนุบาลเสียอีก ขณะที่พ่อบุญทำ พอล ชอบสอนเขาเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ จ็อบส์มักจะมีปัญหากับเพื่อนตั้งแต่เด็กจนโตเขามักจะทิ้งการเรียนในวิชานั้นๆทันที ถ้าเขาคิดว่ามันไม่ใช่ตัวเขา โดยเขาไม่เคยสนใจอดีตเลย ความคิดของเขาจะมุ่งตรงไปยังอนาคตเท่านั้น
       ในปี พ.ศ. 2519  จ็อบส์ได้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล คือ apple1 และ apple2 ซึ่งขายดีถล่มทลายไปทั่วโลก ในปีพ.ศ.2521 จ็อบส์ ได้ดึง จอร์น สกัลลีย์ ซึ่งเป็น CEO ของเป็บซี่ มาเป็น CEO ของแอปเปิ้ล ด้วยประโยคที่ว่า "คุณจะใช้เวลาที่เหลือของชีวิตกับการขายน้ำหวาน หรือคุณอยากได้โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้"  ตามด้วยเหตุการณ์ที่น่าเคร้าใจคือในปีพ.ศ. 2528 สกัลลีย์และกรรมการของแอปเปิ้ลได้ลงมติปลดจ็อบออกจาการเป็นผูบริหารของแอปเปิ้ล บริษัทที่เขาตั้งขึ้นมาด้วยมือของเขาเอง
       ในปีพ.ศ. 2540 จ็อบส์ ได้กลับมาเป็นผู้บริหารในแอปเปิ้ลอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้สมองของจ็อบส์ มุ่งคิดถึงแต่นวัตกรรมในอนาคตเท่านั้น เริ่มต้นด้วยการนำไอพอด อกมาจำหน่ายและมียอดขายถล่มทลาย ตามมาด้วยการเปิด ไอจูนโสตร์ (iTune Store) ที่เป็นแหล่งขายเพลงออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตามมาด้วยไอโฟน ไอแพด และอีกหลายๆผลิตภัณฑ์ และได้ทำให้บริษัทแอปเปิ้ล ได้กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สึดในโลกไปแล้ว แม้ว่าตอนนี้จ็อบส์จะจากไปจากโลกนี้อย่างไม่มีวันหวนกลับคือนมาอีกแล้วก็ตาม

       หลังจากที่ท่านได้อ่านความคิดของคนรวยมาถึงตอนนี้ที่มี 5 ความคิดแล้ว ท่านได้อะไรที่จะเป็นไอเดียให้กับตัวเองบ้างหรือยังครับ ความคิดบางความคิดอาจทำให้ท่านสามารถทำให้ตัวเองเปลี่ยนวิธีคิดได้ หรือหนึ่งในนั้น อาจทำให้เรารวยขึ้นก็เป็นได้ ยังมีอีกหลายความคิดที่จะให้ทุกท่านได้ศึกษาไว้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอีกหลายความคิดด้วยกัน




เรียนรู้การสร้างรายได้เพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้ครับ การลงทุน การสร้างรายได้ การใช้ชีวิต

--------------------------------------------------------------------------------------------------------





มนุษย์เงินเดือน

      บทความนี้จะพูดถึงวิถีชีวิตของมนุษย์เงินเดือนว่าความจริงเป็นเช่นไร  ในประเทศไทยเคยมีการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์เงินเดือน ผ่านบทความที่มีชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์เงินเดือน ผ่าน blogspot partime of house โดยการใช้คำถามถามคนทั่วไปที่ทำงานรับเงินเดือน
คำถามข้อแรกคือ คุณมีความสุขกับงานที่คุณทำหรือเปล่า  ซึ่งพบว่า 62% ของผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่า พวกเขาล้วนแต่เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่มีความสุขในงานที่ทำเลย โดยเหตุผลที่มีมากที่สุดคือ 
  1.ได้รับเงินเดือนน้อย
  2.ทำงานไม่ตรงตามความถนัด
  3.มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับหัวหน้า
ภาพจาก Cr.Nova Burn

      คำถามถัดมาคือ ปัจจัยที่ทำให้คุณไม่มีความสุขคืออะไร คำตอบที่ได้คือ ทำงานเกินหน้าที่ และมีเงินเดือนไม่พอใช้จ่าย เป็นคำตอบแรกที่มีน้ำหนักมากที่สุด
      คำถามถัดมาคือ เมื่อไม่มีความสุขแล้วคูณทำอย่างไร  คำตอบที่ตอบมากสุด 2 อันดับแรกคือ
-ต้องการจะเปลี่ยนงานใหม่
-หาความสุขทางอื่น มีคนตอบข้อนี้ถึง 37%
       ในการสำรวจดังกล่าว ได้สรุปคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า "จะทำอย่างไร จึงจะทำงานให้มีความสุข" มีข้อเสนอแนะไว้ 3 ข้อด้วยกันคือ
1.มองความถนัดมากกว่าเงิน
2.ปรับความเข้าใจกับเพื่อนร่วมงานที่มีปัญหา
3.แบ่งเงินไปซื้อความสุขบ้าง

       ข้อสรุปง่ายๆของการสำรวจครั้งนี้คือชีวิต มนุษย์เงินเดือน ส่วนใหญ่ไม่พอใจกับงานที่ตัวเองทำอยู่  มากกว่าครึ่งหนึ่งต้องการเปลี่ยนงานใหม่ และอยากได้งานใหม่ที่ตนเองถนัดและชอบ แล้วท่านเคยคิดไหมครับว่า ชีวิตของพวกเราส่วนใหญ่เกิดมาในระบบที่เรียกกันว่า "วัฏจักรของมนุษย์เงินเดือน" ผมคิดว่าระบบนี้ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ ตกลงไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าเบื่อหน่าย ทนทุกข์ทรมาร และสิ้นหวัง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆว่าระบบดังกล่าวเป็นยังงัย ผมจะขอยกตัวอย่างที่มักจะเกิดขึ้นกับใครหลายๆคนมาประกอบให้ทุกท่านดูครับ
      วัยเด็ก หากพอจำกันได้ในช่วงวัยเด็ก เวลาที่พ่อแม่ไปไหว้พระก็มักจะพรจากสิ่งศักสิทธิ์ให้ลูก เช่น "เรียนหนังสือเก่งๆ จบแล้วจะได้ทำงานดีๆ" อาจกล่าวได้ว่าคำขอดังกล่าวทำให้เด็กๆมีความเชื่อว่า จะต้องเรียนหนังสือเก่ง จะต้องหางานทำดีๆ เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีๆ  ดังนั้นชีวิตที่ดีๆในที่นี้ก็จะหมายถึง การได้เป็นพนักงาน ได้ทำงานในตำแหน่งสูงๆ มีเงินเดือนเยอะๆ แต่ต้องเริ่มต้นเป็นพนักงานประจำในตำแหน่งเล็กๆไปก่อน มีเงินเดือนน้อย โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ว่า ชีวิตที่ดีๆมันจะมาถึง
       วัยเรียน ทุกคนเรียนหนังสือกันอย่างบ้าระห่ำ บางคนก็เรียนเก่ง ในขณะที่หลายๆคนเรียนไม่เก่งเลย ที่โรงเรียนจะสอนให้หลายๆคนต้องร่ำเรียนวิชามากมาย โดยทุกโรงเรียนพยามจะสอนวิชาต่างๆนานา เพื่อให้สามารถเข้าคณะดีๆ มหาลัยดีๆได้
       แต่มีโรงเรียนจำนวนน้อยมากที่จะสอนวิชา การจัดการการเงิน หรือ อิสระภาพทางการเงิน ทั้งๆที่วิชาเหล่านี้แหละ จะเป็นกุญแจสำคัญจะนำมาซึ่งรายได้ ที่สามารถเลี้ยงชีพตนเองและคนรักของตัวเองได้ และนำมาซึ่งความสุขในที่สุด
       วัยทำงาน เป้นภาพที่หลายๆคนคิดว่าตนเองโชคดีมากที่หางานทำได้ ชีวิตเริ่มต้นจาก ต้อวตื่นแต่เช้า ออกไปผจญสภาพการจราจรที่ติดขัด จากนั้นก็ต้องไปผจญกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน บางคนที่ได้ทำงานดี มีเจ้านายดี มีเพื่อนร่วมงานดี ผลตอบแทนดี ก็ถือว่าโชคดี แต่ในชีวิตจริงมักจะมีคนที่โชคร้ายมากกว่าคนที่โชคดีหลายเท่า คนโชคร้ายเหล่านี้เมื่อกลับถึงบ้านก็มีแาการ หมดสภาพ และปล่อยให้ชีวิตแสวงหาความสุขจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะ จอสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า โทรทัศน์ เพื่อให้ตนลืมความเหนื่อยล้า ความเบื่อหน่าย และความท้อแท้ในชีวิต กลายเป็นชีวิตมนุษย์เงินเดือนในที่สุด
       วันเงินเดือนออก คนที่โชคร้ายเหล่านี้ยังต้องรับชตากรรมทางการเงิน เงินเดือนเกือบจะทุกบาทที่ได้มามักจะมีรายจ่ายต่างๆจำนวนมากมายมารอไว้อยู่แล้ว เริ่มจากค่าเช่าบ้านหรือผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต และอื่นๆ บางคนที่มีครอบครัว ยังต้องใช้จ่ายกับภรรยาและบุตรอีกด้วย ชีวิตที่คิดว่าสุขสบายขึ้นเรื่อยๆกับต้องเผชิญกับรายจ่ายจำนวนมหาศาล แต่ถ้าหากปล่อยให้มันดำเนินต่อไปเรื่อยๆ  จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นสิบปี จากสิบปีเป็นหลายสิบปี จนกระทั่งเกษียรอายุ
       วันเกษียรอายุ เงินที่มีอยู่ทั้งหมดหลังจากวันเกษียรอายุ อาจจะไม่เพียงพอกับเวลาที่ยาวนานของการดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่
          ในวันนั้น ชีวิตก็คงจะเหลืออยู่ไม่มากนัก
          ในวันนั้น ชีวิตก็คงจะไม่สามารถหางานทำได้
          และในวันนั้น ชีวิตก็คงจะไม่มีรายได้เข้ามาเพิมเติมอีกต่อไปแล้ว



       แต่ก็ยังมีหลายคนคิดว่า ยังไงก็ยังมีลูกหลานมาเลี้ยงดู แต่ชีวิตจริงในปัจจุบันนี้ ลูกหลานของพวกเขาก็ยังต้องหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวตัวเป็นเกลียวอยู่แล้ว คงไม่มีปัญญามาเลี้ยงดูพวกเขาได้หรอก
                สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เราเป็นผู้โชคร้ายเหล่านี้รึเปล่า?
      สาเหตุใหญ่ข้อหนึ่งที่เรามี คนที่โชคร้าย ที่มีพฤติกรรมคล้ายๆกัน ซ้ำๆกันจำนวนมากมาย เพราะว่าเขาเหล่านี้ ไม่ยอมคิดใหม่ หรือไม่ยอมเปลี่ยนวิธีคิดนั่นเอง
      แต่ถ้าหากคุณคิดว่า คุณไม่อยากจะมีชะตาชีวิต เหมือนอย่างชีวิตข้างต้นนี้ คุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ คุณมีสิทธิ์ที่จะบรรลุอิสรภาพทางการเงินได้ เพื่อที่จะได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณต้องการทำวนชีวิตได้ ทำในยามที่คุณต้องการ ได้ทำในที่ที่คุณต้องการ และได้ทำกับคนที่คุณต้องการ ถ้าคุณต้องการที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ คุณก็ต้องเริ่มจากการปลี่ยนความคิด คิดแล้วรวยต้องทำอย่างไร เปลี่ยนความคิดเสียตั้งแต่วันนี้ วิธีคิดใหม่ๆ ที่จะให้ตัวเองหลุดพ้นจากชีวิต มนุษย์เงินเดือน โดยเร็วที่สุด ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคุณกล้าพอที่จะเปลี่ยนวิธีคิดหรือไม่?



เรียนรู้การสร้างรายได้เพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้ครับ การลงทุน การสร้างรายได้ การใช้ชีวิต

กลับหน้าแรก
----------------------------------------------------------------------------------------------------


วิธีหนีความยากจน

       วิธีหนีความยากจน เราจะมีวิธีอย่างไรในการหนีจากความยากจนนี้ไปได้ เราจะต้องมีความได้เปรียบบางอย่างที่มีมากกว่าหรือเหนือกว่าคนจนคนอื่นๆ ซึ่งจะกล่าวไปแล้วมีอยู่หลายหัวข้อด้วยกัน แต่ผมให้ความสัมคัญกับความได้เปรียบที่ว่านั้นเพียง 4 ข้อเท่านั้น

     อยากรวย อยากหลุดพ้นจากความยากจน อยากหลุดพ้นจากสภาพชีวิตที่จำเจ อยากหนีให้พ้นจากงานประจำที่น่าเบื่อ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ความรวยจะดูเหมือนว่าเป็นยาวิเศษ ที่เข้ามาแก้ไขปัญหาได่เกือบจะทุกเรื่อง แต่ในขณะที่ความยากจน ก็ดูเหมือนจะเป็นหนึง่ในสาเหตุที่สำคัญ ที่ก่อให้เกิดปัญหาออกมาอย่างมากมาย
      ด้วยเหตุนี้ ผมจึงอยากจะพาทุกท่านมารู้จักวิธีหนีความยากจน มุมมองของผมในที่นี้หมายถึง ปัจจัยหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ครอบครัวที่ยากจน ต้องประสบกับคววมยากจนครั้งแล้วครั้งเล่าจนกลายเป็นความเคยชิน การยอมรับสภาพอย่างต่อเนื่องจนกลายไปเป็นวัฏจักร หากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆที่เกิดขึ้น เช่นครอบครัวของเหล่ามนุษย์เงินเดือน มักชอบใช้จ่ายเงินที่ได้มาเกือบจะทั้งหมดออกไปทันที หลังจากนั้นก็จะมีเงินที่เหลือ เหลือไว้ใช้จ่ายในระหว่างเดือนอย่างขัดสน พฤติกรรมดังกล่าวนี้หากทำจนเป็นความเคยชิน จะทำให้คนนั้นหรือครอบครัวนั้นต้องติดหล่มอยู่ในวัฏจักรแห่งความจน  ดังนั้นจึงมีคำถามที่ว่า แล้วคนเราจะมีวิธีหนีความยากจนนี้ไปได้อย่างไร ผมให้ความสำคัญกับความได้เปรียบ 4 ข้อที่กล่าวไปแล้วข้างต้น มีดังนี้ครับ
    1.การศึกษา
    ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบ เช่น คนจนบางคนอาจจะจบเป็นหมอ เป็นวิศวกร ก็จะมีแนวโน้มที่จะได้รับรายได้สูง หรือจะเป็นการศึกษานอกระบบ เช่น บางคนได้มีโอกาสทำงานกับชาวต่างชาติ ก็จะมีโอกาสได้เรียนรู้ภาษา นิสัยใจคอ ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งอาจจะเป็นกุญสำคัญที่สร้างรายได้จำนวนมาก หากพูดภาษาต่างชาติได้
    2.ความสัมพันธ์
    ปัจจุบันดูเหมือนว่า ความสำคัญของความได้เปรียบในข้อนี้จะมีอยู่สูงมาก เนื่องจากคนเอเชียส่วนใหญ่ มักชแบทำกิจกรรมต่างๆกับคนที่คุ้นเคย ดังนั้นการที่เราได้รู้จักกับผู้คนเป็นจำนวนมากๆ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้น และเรียนรู้วิธีหนีความยากจนได้มากขึ้น
    3.มีความสามารถในการหาแหล่งเงินทุน
    ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินจากคนอื่นมา การให้คนมาร่วมลงทุนด้วย หรือวิธีอื่นใดก็ตาม ข้อนี้อาจกล่าวได้ว่าก็คือ หลักการนำเงินของผู้อื่นมาใช้เพื่อแสวงหาเงินรายได้ให้เพิ่มขึ้นต่อไป ซึ่งเป็นหลักการที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนของโลกก็ใช้หลักการในข้อนี้ด้วยเช่นกัน
    4.การวางแผนการเงิน
    ไม่ว่าคนนั้นจะมีการศึกษาที่ดีขนาดไหน มีสายสัมพันธ์กับผู้คนที่เก่งกาจหรือร่ำรวยขนาดไหน หรือมีความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนได้อย่างยอดเยี่ยมก็ตาม แต่ถ้าหากขาดการวางแผนการเงินได้ไมไ่ดีแล้ว สิ่งที่ดีๆเหล่านั้น อาจไม่ช่วยให้คนเหล่านี้รอดพ้นจากความยากจนไปได้ในที่สุด

       ผมมีข้อคิดของ วอเรนน์ บัฟเฟตต์ ที่จะนำพาทุกท่านให้หลุดพ้นจากความยากจน สู่อิสระภาพทางการเงิน เป็นหนึ่งในวิธีหนีความยากจนที่ผมอยากนำมาให้ทุกท่านได้ดูครับ
    

        ถึงบรรทัดนี้เเล้ว คุณผู้อ่านหลายคนอาจคิดอยู่ในใจว่า "ในชีวิตจริงคนยากจนหรือลูกของคนยากจน จะมีโอกาสดันตัวเองให้พ้นจากความยากจนได้จริงหรือไม่"

     ในงานศึกษาที่มีชื่อว่า "Do Poor Children Become Poor Adults?" เเปลได้ว่า "จึงหรือที่เด็กยากจนจะกลายไปเป็นผู้ใหญ่ที่ยากจน" งานชิ้นนี้เป็นงานที่นำเสนอในการประชุมทางวิชาการที่จัดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ปี พ.ศ. 2547 ซี่งเป็นงานทางวิชาการที่ได้ศึกษาฐานะความเป็นอยู่ของบุคคล ที่เกิดมาจากครอบครัวยากจนเเละที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย ในสหรัฐอเมริกาเเละในทวีปยุโรป "ในสหรัฐอเมริกาเกือบครึ่งหนึ่งของเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน เมื่อโตขึ้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ยากจน เเละพบต่อไปด้วยว่า ในประเทศสหราชนาจักร (อังกฤษ) เด็กที่เกิดในครอบครัวยากจนจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ยากจนสูงถึง 40%


       สำหรับลูกของคนยากจนเเล้วเราได้ข้อสรูปง่ายๆว่า "ลูกของคนยากจนมีโอกาสที่จะกลายเป็นคนจนไม่ถึงครึ่ง" ดังนั้นโอกาสของเด็กยากจนจะหลุดพ้น จากความยากจนจึงเป็นส่ิงที่เป็นไปได้เพราะมีโอกาสมากกว่าครึ่งหนึ่งเสียอีก


       นอกจากนั่น ยังมีหนังสืออีกเล่นหนึ่งที่มีชื่อว่า "A Framework for Understanding Poverty" เเปลได้ว่า "กรอบเเนวคิดในการเข้าใจความยากจน" หนังสือเล่นนี้เขียนโดย คุณรูบี เค เพย์น ในหนังสือเล่นนี้กล่าวถึงชนชั้นต่างๆในสหรัฐอเมริกา 3 ชนชั้นคือ ชนชั้นสูงที่ร่ำรวย ชนชั้นกลางเเละชนชั้นต่ำที่ยากจน ซึ่งเเต่ละชนชั้นมักจะมีค่านิยมเเละความเชื่อที่เเตกต่างจากชนชั้นอื่น ในชนชั้นต่ำนั่นมักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการวางเเผน ผู้คนในชนชั้นต่ำโดยทั่วไปจะไม่มีการว่างเเผนไว้ร่วงหน้ามีเเต่เพียงความคิดที่จะให้มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้คนในชนชั้นต่ำเล่านี้ไม่มีการวางเเผนการเงินที่ดีเเละไม่มีเงินออม เมื่อไม่มีเงินออมเเล้วลูกหลานของคนเหล่านี้ก็จะประสบปัญหาเรื่องการเงินตามมา เเละในที่สุดพวกเขาก็ไม่มีวิธีหนีความอยากจนไปได้



******************
       เพย์นได้เริ่มศึกษาพฤติกรรมของคนยากจนอย่างจริงจัง เเละเขาก็ได้พบความจริงว่า

      "คนยากจนมักจะใช้จ่ายเงินที่พึ่งได้รับมาเเทบจะทันทีโดยเฉพาะกับการใช้จ่ายกับของที่ไม่จำเป็นเลย ไม่ว่าจะเป็นเหล้าหรือบุหรี่ คนจนเหล่านี้ทำสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นประจำ เเละลูกหลานของเขาได้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ควรเรียนรู้ เมื่อลูกหลานของพวกเขาเติบโตขึ้น เขาก็จะใช้จ่ายเงินที่ได้รับมาในทันทีโดยเฉพาะกับการจ่ายของที่ไม่จำเป็นเลย เช่นเดียวกับพ่อเเม่ของพวกเขา เเละเเล้วในที่สุด คนเหล่านีั้ก็ไม่สามารถหนีัพ้นออกมาจากวัฏจักรเเห่งความยากจนไปได้"

       ดังนั้นการจะมีวิธีหนีความอยากจนนี้ไปได้อยู่ที่การเปลี่ยนวิธีคิดหรือการสร้างวิธีคิดใหม่ๆ  โดยเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดว่าจะให้ตนเองมีเงินออมได้อย่างไร การเปลี่ยนวิธีคิดว่าจะเอาข้อได้เปรียบทั้ง 4 ข้อนั่นไปเเสวงหาเงินก้อนใหม่ได้อย่างไร 


************************************************************************



เรียนรู้การสร้างรายได้เพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้ครับ การลงทุน การสร้างรายได้ การใช้ชีวิต