สารบัญเว็บไซต์

สารบัญเว็บไซต์ !

เทคนิคขายสินค้าออนไลน์แบบรวยเร็ว

       เมื่อท่านมีหน้าร้านออนไลน์ที่เป็นของตัวเองแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อมานั่นก็คือ จะทำยังไงให้หน้าร้านออนไลน์ของท่านมีสามารถดึงดูดลูกค้าทั้งที่สนใจมากและสนใจน้อยให้เข้ามาดูในรูปร้านค้าของท่าน เพราะเมื่อมีคนเข้ามาดู นั่นก็แปลว่ามีคนสนใจในสินค้าของท่านแล้ว แล้วท่านจะทำอย่างไรให้คนที่สนใจเหล่านั้นกลายมาเป็นลูกค้าได้  เทคนิคขายสินค้าออนไลน์แบบรวยเร็วนี้ จะสอนเทคนิควิธีให้ท่านได้นำไปใช้กับร้านค้าออนไลน์ได้อย่างถูกวิธีและเต็มรูปแบบของการขายสินค้าออนไลน์

       เทคนิคขายสินค้าออนไลน์แบบรวยเร็ว มีแต่ไมีกี่วิธี แต่มีรายละเอียดอาจจะเยอะหรืออาจะน้อย ต้องศึกษาดูเลยครับ
        1. อันดับแรกเลยก็คือ ต้องโพสรูปสินค้าพร้อมกับสรรพคุณของมัน
       อย่างแรกที่ต้องทำในขั้นตอนนี้คือ ท่านต้องถ่ายรูปสินค้าให้ชัดเจน สวยงาม และน่าดู พร้อมกับใส่สรรพคุณหรือประโยชน์ของสินค้านั้นลงไปด้วย เพื่อให้คนที่สนใจหรือลูกค้าได้ดูผ่านหูผ่านตาเสียก่อน เพราะสิ่งแรกที่ผู้คนในโลกออนไลน์จะดูหรือจุเห็นนั่นก็คือรูปภาพนั่นเองครับ เรื่องประโยชน์หรือสรรพคุณเป็นสิ่งที่รองๆลงไป  ยิ่งถ้าหากสินค้าของท่านถูกบรรจุอยู่ในแพกเกจที่สวยงาม ก็จะช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจให้ลูกคัาสนใจมากยิ่งขึ้นครับ
        2.ประโยชน์และรายละเอียดของสินค้าต้องเป็นความจริง
       สิ่งที่รองลงมาจากรูปถ่านสินค้านั่นก็คือ ข้อมูลและประโยชน์เกี่ยวกับสินค้า ต้องเป็นความจริง เชื่อถือได้ อย่างเช่นครีมทาหน้าเพื่อกระชับรูขุมขน ที่ควรใช้คู่กับโฟมล้างหน้า จะสามารถเห็นผลใน 1 เดือน  สรรพคุณนี้ก็ต้องเป็นความจริง ในระยะเวลาประมาณนี้ ต้องเห็นว่ารูขุมขนแลดูเล็กลงจริงๆ ส่วนจะมากหรือน้อยอันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้า และการใช้งานว่าใช้ตามที่ระบุไว้หรือไม่ แต่ถ้าใช้ตามวิธีที่ระบุทุกอย่าง แล้วเห็นผลจริง ไม่มีผลข้างเคียง ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้ครับ
        3. รีวิวจากลูกค้า
       เมื่อลูกค้าได้ซื้อเครื่องสำอาง ท่านควรจะแนะนำให้ลูกค้าถ่ายรูปตอนก่อนใช้เครื่องสำอางของท่านเสียก่อน เพื่อจะได้ดูว่า ก่อนใช้ และ หลังใช้เป็นอย่างไร ได้ผลดีมากน้อยแค่ไหน เมื่อลูกค้าใช้แล้วได้ผลดี ก็ควรจะให้ลูกค้าส่งรูปกลับมาให้ดู ทั้งก่อนใช้และหลังใช้ เพื่อที่ท่านจะได้เอาไว้เป็นตัวอย่างให้กับลูกค้าคนต่อๆไปได้ดูถึงสรรพคุณและประโยชน์ของเครื่องสำอางหรือชิ้นค้าชนิดนั้น ว่ามีคนได้ใช้สินค้าตัวนี้แล้วได้ผลแบบนี้ ประมาณนี้ครับ เมื่อลูกค้าคนต่อๆไปเห็นว่ามีคนใช้แล้วได้ผลจริง ย่อมทำให้เกิดความอยากใช้มั่งเป็นธรรมดา เพราะโดยส่วนมากแล้ว ถึงท่านจะมีรูปภาพพร้อมสรรพคุณสินค้าแต่ถ้าไม่มีรีวิวจากลูกค้าคนที่เคยใช้มาถ่ายทอดให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว คนที่จะมาซื้อย่อมยังไม่มั่นใจในสินซักเท่าไหร่นัก เอาเป็นว่า รีวิวจากลูกค้าถือเป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกันที่จะช่วยให้ได้ลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นครับ
        4.ต้องส่งของให้ตรงเวลา
       เมื่อลูกค้าสั่งสินค้าที่ร้านของท่านแล้ว ขั้นตอนในการส่งสินค้าถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะมันจะเพิ่มความน่าเชื่อถือ น่าไว้ใจให้กับลูกค้า ถ้าท่านสามารถส่งสินค้าให้ได้ตรงตามวันที่กำหนด ถ้าหากจะคลาดเคลื่อนก็อย่าให้เกิน 1 วันเป็นดีที่สุด ยกเว้นแต่ว่าดันไปติดวันเสาร์หรืออาทิตย์ที่ทางไแรษณีย์หยุดทำการ อันนี้ก็ต้องชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจถึงวันที่คลาดเคลื่อนด้วยเช่นกันครับ เพราะการซื้อของแล้วต้องโอนเงินจ่ายให้กับใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยเจอมาก่อนย่อมต้องมีความไม่สบายใจต่อคนที่จ่ายเงินบ้าง ไม่มากก็น้อยครับ ดังนั้นจะประทับใจท่านแน่นอนหากท่านสามารถส่งสินค้าให้ตรงตามเวลาที่กำหนด จะเป็นรักษาลูกค้าได้เยอะแน่นอนครับ
        5.ต้องเข้าใจเมือลูกค้ามีผลข้างเคียง
       ท่านอาจจะรับผิดชอบโดยการคืนเงินให้กับลูกค้า เมื่อลูกค้าใช้สิน้คาของท่านแล้วเกิดอาการแพ้ หรือผลข้างเคียงที่ไม่ดี เพราะถึงอย่างน้อยการที่ท่านมีส่วนในการรับผิดชอบลูกค้าในตรงนี้ก็ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกดีขึ้นมาบัาง ที่อย่างน้อยผู้ขายก็ยังออกมารับผิดชอบ เผลอๆบางคนอาจจะไม่อยากได้เงินคืนเลยด้วยซ้ำ เพราะเห็นใจเรา อันนี้ผมก็เคยเจอมาแล้วเหมือนกัน ซึ่งลูกค้าคนนั้นบอกกัยผู้ขายว่าเดี๋ยวจะเอาไปให้ญาติใช้ล้ะกัน  เพราะไม่อยากส่งกลับคืน ไหนๆก็ซื้อมาแล้ว
     
       ทุกขั้นตอนของเทคนิคขายสินค้าออนไลน์แบบรวยเร็วนี้ ล้วนมีความสำคัญเท่าๆกันทุกข้อ ท่านจะละเลยข้อใดข้อหนึ่งไปได้ หากอยากจะประสบความสำเร็จทางด้านนี้ให้ได้  แนะนำว่าให้ทำตามทุกข้อเลยนะครับ เท่าที่ผมได้รวบรวมมาก็จะมีประมาณนี้ หากใครมีวิธีและเทคนิคที่ดีกว่านี้ก็คอมเม้นบอกมาได้เลยครับ เพือจะได้เป็นความรู้ให้กับผู้ที่สนใจต่อไปครับ



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ข้อเสียของการขายสินค้าออนไลน์

       ไม่ว่าจะทำธุรกิจหรือการงานอะไรก็แล้วแต่ย่อมต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เป็นธรรมดา เพราะไม่มีอะไรที่ทำได้อย่งราบรื่นโดยปราศจากข้อเสียและอุปสรรค ข้อเสียของการขายสินค้าออนไลน์มีดังนี้ครับ

       ข้อเสียของการขายสินค้าออนไลน์ ก็นับว่ามีมากหลายข้อเช่นกัน ฉะนั้นแล้วท่านจึจำเป็นอย่างที่จะต้องศึกษาข้อเสียเหล่านี้เอาไว้ เพื่อจะได้เตรียมรับมือและแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ข้อเสียของการขายสินค้าออนไลน์เท่าที่ผมได้รวบรวมมาน่าจะมีประมาณนี้ครับ
1. มีการแข่งขันสูง เพราะทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโญลีได้ง่าย ดังนั้นเราจึงต้องทำรูปแบบสินค้าให้มีความเป็นจุดเด่นขึ้นมาให้ได้ นับตั้งแต่ตอนที่ถ่ายรูปสินค้า ราคาสมกับคุณภาพ รวมถึงคุณภาพของสินค้าที่ต้องดีจริงๆ
2. ไม่มีมาตรฐานของราคาที่แน่นอน จึงมีการตัดราคากันเกิดขึ้นได้ง่าย
3. ลูกค้ายังไม่สามารถจับต้องสินค้าได้ จนกว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้า
4. ไม่มีความชัดเจนของมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
5. หากไม่มีความรู้เกี่ยวกับการดูเว็บไซต์ที่ดีพอ อาจถูกไวรัสหรือถูกเจาะระบบได้ครับ
6. ความมั่นใจของลูกค้า ที่มีต่อสินค้า ยังค่อนข้างก้ำกลึ่ง ประมาณว่าซื้อดีหรือไม่ซื้อดี เพราะกลัวเจอของไม่ดี แล้วต้องเสียเงินไปฟรีๆ มีหลายคนที่เป็นแบบนี้
7. บางคนยังขาดความรู้ทางด้านเว็บไซต์ โดยไม่มีการอัปเดตข้อมูลบนเว็บไซต์ ไม่มีการพัฒนาหนา้เว็บให้เปลี่ยนแปลงไปตามยุค
8. อาจเกิดการบริการที่ล่าช้า หรือไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ นั่นเป็นเพราะไม่มีการวางแผนรับมือที่ดีพอนั่นเองครับ และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลูกค้าอาจจะไม่รอสินค้าของท่านก็เป็นได้ เพราะลุกค้ามีทางเลือกที่เยอะกว่า
9. ราคาต้นทุน ถ้าเรารับสินค้ามาในราคาแพง แต่ไปเจอคู่แข่งที่ตัดราคาลงมาขายถูกกว่าเรา ก็จะทำให้ท่านต้องเสียกำไรลงไปอีกเยอะ แทนที่จะได้มากกว่านี้
      อาจจะมีมากกว่านี้นะครับ แต่เท่าที่ผมพอทราบๆมาของข้อเสียของการขายสินค้าออนไลน์ก็จะมีประมาณนี้ ข้อแนะนำที่ผมอยากฝากไว้เรื่องหนึ่งคือ ตอนนี้มีผู้ให้บริการดูแลเว็บไซต์ ให้คำปรึกษาอยู่มากมายในเรื่องการทำร้านค้าออนไลน์ ส่วนการโปรโมทเว็บขายสินค้ามี 2 วิธีคือ 1. จ้างให้ผู้บริการเพื่อโปรโมทเว็บไซต์ขายสินค้า  2. เสียเงินลงโฆษณาขายสินค้าเช่น google adword ก็ลงโฆษณาได้ครับหากใครคิดว่ามีมากกว่านี้ก็แนะนำมาได้ที่ช่องเม้นได้เลยนะครับ

       การลงทุนทำธุรกิจทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง ข้อเสียของการขายสินค้าออนไลน์นี้จะทำให้ท่านได้วางแผนธุรกิจให้รัดกุมอยู่เสมอ  การบริการก็ควรทำให้เกิดการผิดพลาดที่น้อยที่สุด ถ้าไม่มีได้ยิ่งดีครับ จะได้เป็นการักษาลูกค้าเก่าให้ติดตามซื้อสินค้าจากเราไปนานๆ ส่วนลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาซื้อ ก็จะได้เกิดความประทับใจและเชื่อมั่นในสินค้า และเกิดการบอกต่อกันไปอย่างเรื่อยๆ นนำมาซึ่งความสำเร็จของธุรกิจของเรานั่นเองครับ
 
     



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ข้อมูลจากผู้ที่เคยประสบมา

ข้อดีของการขายสินค้าออนไลน์

       การทำธุรกิจทึกอย่างล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียรวมๆกันไป อยู่ที่ว่าเราจะสามารถวางแผนให้รัดกุมเพื่อเตรียมรับมือกับข้อเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ในที่นี้ไม่ได้บอกให้ท่านที่กำลังสนใจธุรกิจนี้ล้มเลิกความตั้งใจไปนะครับ แต่เพื่อต้องการให้ท่านนำเอาข้อดีเหล่านี้ไปพัฒนาหากลยุทธ์ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม มากันเลยครับว่าข้อดีของการขายสินค้าออนไลน์มีอะไรบ้าง

       ข้อดีของการขายสินค้าออนไลน์นั้นมีมากมายหลายอย่าง สามารถทำเป็นงานเสริมก็ได้ หรือถ้าขายดี ก็ทำเป็นอาชีพหลักได้เลย ข้อดีของการขายสินค้าออนไลน์มีหลายข้อ เท่าที่ผมไล่เลียงมาก็มีประมาณงนี้ครับ
1. การขายสินค้าออนไลน์มีความ้ป็นอิสระ ไร้พรมแดน มากกว่าธุรกิจประเภทอื่นๆครับ
2. มีความสะดวกสบายทั้งคนขายและคนซื้อ
3. ดูแลจัดการง่าย 
4. สามารถขายสินคัาได้ทุกแบบ ทุกอย่างเลยครับ
5. ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านก็ได้ แต่ถ้ามีก็เพิ่มความน่าเชื่อถือได้อีกระดับหนึ่งครับ
6. สามารถทำคนเดียวได้
7. สามารถติดต่อลูกค้า ได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ไลน์ เฟสบุ๊ค และอื่นๆ ถ้าหากมีการซื้อขายเกิดขึ้นแล้ว ก็รู้ที่อยู่ด้วยเช่นกัน
8. การชำระเงินก็ถือว่ามีความสะดวกอยู่หลายช่องทางครับ ไม่ว่าจะเป็นชำระเงินแบบออนไลน์ ตู้ATM เป็นต้น
9. เพิ่มโอกาสทางการตลาด นั่นก็คือ โลกออนไลน์นั้นมันกว้างมากกกก ผู้คนสามารถเห็นว่าท่านขายสินค้าออนไลน์ได้ทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ ซึ่งต่างจากหน้าร้านที่จะเห็นกันแค่ในละแวกนั้น โอกาสที่คนจัวหวัดอื่นจะเห็นก็มีน้อย ถึงมีแต่โอกาสที่เค้าจะมาจอดรถเพื่อลงมาซื้อก็แทบจะไม่มีโอกาสเลย
10. ลูกค้าสามารถรอรับสินค้าที่หน้าบ้านได้เลย
11. ถ้าไม่มีหน้าร้าน ก็ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานหรือให้คนอื่นมาเฝ้าร้านในยามที่เราไม่ว่างหรือไม่อยู่
12. ถ้าเราไม่มีหน้าร้านก็จะลดความเสี่ยงจากการถูกโขมยของ จากภัยธรรมชาติ หรือจากอุบัติเหตุต่างๆที่อาจเกิดขึ้น แบบที่เคยเห็นในข่าวก็คือ รถเสียหลักพุ่งเข้ามาชนในร้านค้าจนข้าวของเสียหาย
13. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
14.และเท่าที่ทราบมาในปัจจุบันนี้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็ให้การสนับสนุนเช่นกันครับ เพราะมันสามารถทำเป็นงานเสริมได้ทุกเพศทุกวัย
15. ถ้าจัดการๆด้เก่งๆหน่อยก็ไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้าก็ได้ 
16. ต้นทุนในการเปิดเว็บเพื่อขายสินค้าออนไลน์ ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ แต่ของผมสมัครฟรี และเขียนเว็บเองเลยครับ http://propink.blogspot.com (เพิ่งจะเริ่มทำครับ สินค้ายังน้อยอยู่ เพราะต้องรอการอัปเดตจากผู้ขายและการพรีวิวจากลูกที่กำลังทยอยส่งเข้ามาครับ)  ซึ่งผมสามารถนำเว็บนี้ไปโปรโมทตามเว็บไซต์ต่างๆได้อย่างมากมายเป็นสิบเป็นร้อยเว็บเลยครับ โดยที่ไม่เสียเงินซักบาท และตอนนี้ก็มีลูกค้าใหม่ๆเข้ามาติดต่อในไลน์ของผู้ที่ขายสินค้าในเวบนี้ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว จากการที่ผมสอบถามจากคนที่ขายของในเวบนี้นะครับ
17. ข้อสุดท้าย (หรืออาจจะมีเยอะกว่านี้ แต่คิดได้แค่นี้ครับ) สามารถวัดผล เก็บสถิติ และวิเคราะห์การขายได้ด้วยตัวเอง

       ดังนั้นหากท่านที่กำลังอ่านอยู่นี้ ได้อ่านข้อดีของการขายสินค้าออนไลน์แล้ว ถ้าอยากจะมีร้านค้าออนไลน์ออนไลน์เป็นของตัวเอง เชื่อว่าธุรกิจนี้สามารถสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับได้อย่างแน่นอน หากท่านมีการวางแผนในการทำธุรกิจที่ดี ซึ่งผมได้เขียนขั้นตอนเอาไว้หลายๆขั้นตอนในการทำธุรกิจออนไลน์ที่ดี จะต้องเริ่มทำจากอะไรก่อน ท่านสามารถอ่านได้จากเว็บนี้เลยครับ http://millionrich.blogspot.com






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ข้อมูลจากผู้ที่ทำสินค้าออนไลน์แล้วประสบความสำเร็จ

เทคนิคขายสินค้าในอินสตาแกรมให้ได้ประสิทธิภาพ

       การขายสินค้าออนไลน์นั้นไม่จำดป็นว่าจะต้องมีแค่เฟสบุ๊คอย่างเดียว ท่านสามารถหาช่องทางอื่นๆในการนำเสนอสินค้าของท่านเพื่อให้ผู้เล่นอินเตอร์เน็ตสามารถรับรู้ได้ว่าท่านกำลังจะขายเครื่องสำอางหรือขายสินค้าออนไลน์ ในบทความนี้จะพูถึงเทคนิคการขายสินในอินสตาแกรมให้ได้ประสิทธิภาพ มาดูกันครับ ว่าต้องทำอะไรบ้าง

       1.รูปถ่ายสินค้าถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ
       อินสตาแกรมนั้นคือการบอกเล่าเรื่องราวด้วยภาพ ดังนั้นจำเป็นอย่างที่รูปถ่ายสินค้าของท่านจะต้องมีคุณภาพที่ละเอียดค่อนข้างสูง ในแต่ละสินค้าควรมีรูปถ่ายสินค้าอย่างน้อย 3 รูป เพื่อเอาไว้ใช้อัพเดตในภายหลัง วิธีการนี้จะทำให้ผู้สนใจได้มุมมองในการมองสินค้าได้หลายแบบ ควรเน้นรูปแบบของการจัดวางให้สร้างสรรค์สวยงามเข้าไว้ เพราะรูปถ่ายสิน้คาที่โดดเด่นจะดึงดูดใจให้ผู้คนคลิกดู และไม่แน่คนเหล่านั้นอาจเป็นลูกค้าของคุณในอนาคตอีกด้วยครับ
       2.ต้องใช้คำค้นหาให้เป็น
       คำค้นหาในอินสตาแกรมก็คือ Hashtag นั่นเองครับ หากท่านอยากให้รูปภาพสินค้าของท่านดึงดูดลูกค้าที่มุ่งหวัง ก็ควรใช้ Hashtag เป็นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของท่าน เพื่อที่เวลาผู้คนเข้ามาค้นหาภาพผ่าน Hashtag รูปถ่ายสินค้าของท่านก็จะได้อยู่ในผลการค้นหานั้นด้วย.  Hashtag นี้ก็คือ Tag ที่มีสัญลักษณ์เป็นเครื่องหมาย#  ตามด้วยชื่อภาษอังกฤษ เช่น #cosmatic  เป็นต้น
       3. ให้ความใส่ใจกับผู้เข้าชมทุกคน ทั้งลูกค้าและที่ยังไม่ใช่ลูกค้า
       แอพพริเคชั่น อินสตาแกรมสามารถตั้งค่าให้มีการเตือนได้ถ้าหากว่ามีคนมากดไลค์หรือคอมเม้นรูปภาพของเรา เทคนิคง่ายๆก็คือ ถ้าหากมีคนมาคอมเม้นว่าสวยจัง ชอบรูปนี้มาก เราก็รีบตอบกลับทันทีโดยทิ้งว่าเป็นเพราะเราใช้เครื่องสำอางอันนั้นนี้ถึงทำให้เราดูดีแบบนี้ได้  เพื่อจะได้กล่าวเกี่ยวกับรายละเอียดของสินค้าให้มากขึ้นด้วยครับ
       4.เพิ่มช่องทางความสะดวกชำระเงินแก่ลูกค้า
      การซื้อขายก็เหมือนกับการแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน หากว่าอยากได้เงินจากลูกค้า ท่านก็ต้องควรจะเพิ่มช่องทางในการชำระเงินให้มากขึ้น เพื่อให้ง่ายและสะดวกกับลูกค้า หากท่านใช้วิธีในการโอนเงิน ก็ควรให้เลขบัญชี ชื่อบัญชี ธนาคารให้ชัดเจน เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามภายหลัง

       การทำธุรกิจเครื่องสำอางออนไลน์นั้น ไม่ว่าสินคัาคุณจะดีแค่ไหนก็ตาม คุณต้องมีความซื่อสัตย์โปร่งใสอย่างเต็มรัอยจึงจะดำเนินธุรกิจไปได้อย่างดี การที่ขายของออนไลน์นั้น ยิ่งหากคุณใช้แพกเกจเครื่องสำอางของคุณที่ดูสวยงาม ดูน่าใช้ รูปถ่ายที่ออกมาก็ยิ่งน่าดึงดูดให้คนที่สนใจเข้าไปคลิกถูกใจหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ เป็นการช่วยเรียกลูกค้าได้อีกทางหนึ่งเลยครับ






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

7ขั้นตอนขายสินค้าออนไลน์

       การขายสินค้าออนไลน์ถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจประเภทหนึ่งเหมือนกัน เมื่อขึ้นชื่อว่าธุรกิจ แน่นอนว่าย่อมต้องมีความเสี่ยง ถ้าทำแลัวดีก็รุ่ง แต่ถ้าทำอย่างผิดวิธี ทำอย่างไม่ถูกต้อง ก็คงต้องร่วงแน่ๆ. แต่ก็อย่าเพิ่งรีบท้อใจไปนะครับ ทิ้งึวามกังวลเหล่านั้นไปก่อน เพราะหากท่านเรียนรู้มาก ก็เหมือนกับท่านมีอาวุธอยู่เต็มตัว ไม่ว่าจะเจออุปสรรคปัญหาใดๆ ท่านก็สามารถฟันฝ่ามันไปได้เสมอ สามารถเดินบนเส้นทางการแข่งขันธุรกิจออนไลน์ได้อย่างตลอดกาล บทความนี้ผมจะพูดถึง 7ขั้นตอนการขายสินค้าออนไลน์

       7ขั้นตอนการขายสินคัาออนไลน์ ที่จะทำให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ
       ขั้นตอนที่1 แผนการตลาดออนไลน์
       แผนการตลาดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำธุรกิจ และเป็นตัวกำหนดได้เลยว่าธุรกิจของคุณนั้นจะไปต่อได้หรือไม่ หากไม่มีแผนการตลาด ไม่มีการวางแผน ไม่มีเป้าหมาย ธุรกิจคงไปไม่ได้แน่ๆ ดังนั้นท่านต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน มีขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อย่างเช่น ทำอย่างไรให้สามารถขายสินค้าของเราได้ อาจจะเริ่มต้นด้วยการเปิดเว็บไซต์ ตามตัวอย่างนี้ครับ   propink.blogspot.com   แล้วทำการโปรสินค้า โปรโมทเว็บไซต์ ด้วยการใช้โฆษณาเป็นสื่อ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แบบนี้เป็นต้นครับ
       ขั้นตอนที่2 งบประมาณลงทุน
       ธุรกิจจะเติบโตได้ แน่นอนว่าต้องมีเงินทุนสนับสุน เรื่องงบประมาณจึงเป็นัจจัยที่สำคัญในระดับเริ่มต้น นับตั้งแต่ตอนที่ลงทุนซื้อสินค้ามาขายครั้งแรก อาจจะมีอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก อย่างเช่นการเปิดเว็บไซต์ จ่ายค่าโฆษณาเพื่อโปรโมทเว็บ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการขนส่ง  แต่ถ้าหากว่าท่านมารถจำกัดการลงทุนได้อย่างถูกวิธี อย่างเช่นเวบที่ผมยกตัวอย่างให้ไป propink.blogspot.com สมัครฟรี ทำฟรี และหาทางโปรโมทฟรีจากเว็บต่างๆ รวมถึงการสร้างเพจจากเฟสบุ๊คในหัวข้อ การทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊ค.  ต้นทุนนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าหากว่ามีการแข่งขันที่สูง
       ขั้นตอนที่3 คุณภาพของสินค้าต้องดี และมีความโดดเด่น
       ท่นต้องมองให้ออกว่าถ้าท่านเป็นลูกค้า ท่านต้องการอะไรจากการซื้อสินค้านั้น  ขอบอกว่าคุณภาพต้องมาเป็นอันดับแรกครับ หากสินค้าไม่มีคุณภาพ ซื้อแค่ครั้งเดียวก็ไม่กลับมาซื้อแล้ว หากอยากจะมีแยรนด์เป็นของตัวเอง ขั้นแรกท่านอาจจะลองใช้เองก่อน จากนั้น ลองใหเพื่อนสนิทใช้ดูด้วย แล้วทำการพรีวิวดู เพื่อเป็นโปรโมทสินค้า และแบรนด์ที่ท่านทำขึ้นเอง เรื่องของบรรจุภัณฑ์ ก็มีความสำคัญเช่นกัน ท่านตัองทำให้ผลิตภัณฆ์ดูโดดเด่น ดูมีอะไรที่น่าดึงดูดมากกว่าเจ้าอื่นในตลาดเดียวกัน หากทั้งแพกเกจที่สวยงามมาพร้อมกับคุณภาพที่น่าใข้มารวมกันแลัว ท่านก็สามารถเดินบนเส้นทางการขายสินค้าออนไลน์ได้อย่างสบายๆไปเลยครับ
       ขั้นตอนที่ 4 เว็บไซต์ขายสินค้า
       ที่ง่ายที่สึดในการเริ่มต้นคือ เฟสบุ๊คนั่นเองครับ เป็นเว็บไซต์ที่มีคนเข้าชมมาก และหากท่านต้องการโพสภาพสินค้า และพรีวิวของลูกค้าก็สามารถทำได้ง่าย สามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าหรือแบรนด์ของท่านเองได้เป็นอย่างดี.
       ขั้นตอนที่ 5 บริการเรื่องการชำระเงิน
       สำหรับการขายสินค้าออนไลน์นั้น มีช่องทางในการชำระเงินมากมายเช่น การโอนเงินผ่านธนาคารออนไลน์  ตู้ATM  7-11 และแบบเก็บเงินปลายทาง ผู้ขายก็ควรมีช่องหลายๆช่องนี้เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกที่จะโอนเงินให้เรา มีข้อแนะนำว่า ถ้าลุกค้าโอนเงินเสร็จแล้ว ให้คเา้ถ่ายรูปแล้วส่งมาให้เราดูในไลน์หรือในช่องข้อความในเฟสบุ๊คก็ได้ครับ และพอที่เราส่งสินค้า ไม่ว่าจะช่องทางไปรษณีย์หรือจะรถโดยสาร ก็ควรถ่ายรูปส่งให้ลูกค้าดูเช่นกัน
       ขั้นตอนที่ 6 บริการจัดส่งสินค้า
       ที่นิยมกันมากที่สุดในตอนนี้คือ ไปรษณีย์ครับ เพราะมีความสะดวก ครอบคบุมทั่วประเทศ  แต่ถ้าเป็นสินค้าที่มีขนาดใหญ่โต คงต้องพึ่งบริการจาก DHL หรือ Fedex เพราะมีความรวดเร็ว ถ้าเป็นจังหวัดอยู่ติดๆกัน ก็สามารถฝากส่งกับโดยสารประจำทาง ศึ่งก็นิยมทำกันพอสมควร เพราะเมื่อรถไปถึง นั่นก็แปลว่าสินค้าไปถึงแล้วครับ
       ขั้นตอนที่ 7 บริการหลังการขาย
       อันนี้สำคัญเหมือนกันครับ อย่าเป็นแบบว่า ขายแล้วทิ้ง  การจะกลับมาซื้อซ้ำนั้นก็อาจจะมี แต่ก็น้อย ดังนั้นเราควรมีการติดตามหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าเกิดความอบอุ่นและมั่นใจในผลิตภัณฑ์ และยังทำให้เราสามารถรักษาลูกค้าเก่าเอาไว้ และลูกค้าเก่าเหล่านี้เมื่อเค้าใช้ของของเราดี เค้าจะช่วยเราบอกต่ออย่างอัตโนมัติเลยครับ  ดังนั้นเราจึงควรมีบริการหลังการขาย เช่น หากไม่พึงใจในคุณภาพสินคัาสามารถคืนเงิน หรือเกิดแพ้เครื่องสำอางในภายหลัง ยินดีคืนเงิน เป็นต้น เท่านี้ก็สามารถสรเางความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าได้แล้วครับ

       7ขั้นตอนการขายสินค้าออนไลน์นี้ มีความสำคัญเท่ากันทุกขั้นตอน จะละเลยขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไปไม่ได้ เพราะแต่ละขั้นตอนล้วนเป็นองค์ประกอบของการขายสินค้าออนไลนทั้งนั้น ถ้าอยากสำเร็จในด้านนี้ควรให้ความสำคัญในทุกขั้นตอนนะครับ

เริ่มทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊ค

      การจะเริ่มทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊คนั้น ก่อนอื่นต้องตัดความกลัวที่ว่าจะขายไม่ได้ออกไปเสียก่อน และให้คิดเอาวไ้เสมอว่าที่ไหนมีผู้หญิง ที่่นั่นขายเครื่องสำอางได้แน่นอน เพราะผู้หญิงเป็นเพศที่รักสวยรักงามอยยู่ในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นหากคนที่กำลังสนใจจะทำธุรกิจนี้ จงอย่ากลัวเด็ดขาด ตราบเท่าที่ผู้หญิงยังไม่สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ครับ

       อย่างแรกในการเริ่มทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊ค  สิ่งที่ท่านจะต้องมีเลยก็คือเฟสบุ๊คที่เป็นยูเซอเนมของท่านเองเลยครับ สักหนึ่งยูเซอเนมก่อน แค่นี้แหละครับก็เพียงพอที่จะเปิดหน้าร้านได้แล้ว หลังจากนั้นหากท่านเพิ่มเพื่อนในเฟสบุ๊คแล้ว ลองไร่เรียงถามเพื่อนที่สนิทก่อนว่าตอนนี้กำลังใช้ครีมอะไรอยู่ หรือปกติซื้อเครื่องสำอางที่ไหน ขั้นแรกผมแนะนำให้ลองจากเพื่อนสนิทดูก่อนนะครับ เพราะคุยกันง่าย สามารถทดลองผลิตภัณฑ์ได้
       อย่างที่สองคือ ลองโพสข้อมูล และสรรพคุณของเครื่องสำอางที่จะจำหน่ายลงหน้าเฟสบุ้คดูก่อน แนะนำว่าให้มีรูปด้วยนะครับ พร้อมบอกขนาดด้วยยิ่งดี เพื่อความชัดเจนของสินค้า  เพื่อให้คนอื่นและนอกเหนือจากเพื่อนของคุณเห็นเพื่อให้เขารู้ว่าเรากำลังจะขายเครื่องสำอางน้ะ วิธีนี้อาจทำให้มีคนสนใจเพิ่มขึ้นได้เลยครับ
       อย่างที่สามคือ ถ้ามั่นใจว่าสินค้าของเราดีจริงหรือสวยจริง อาจให้ตัวอย่างของเครื่องสำอางที่คุณขายให้กับเพื่อนคุณ หรือจะเป็นคนที่อยากจะทดลองเครื่องสำอางของคุณ ได้ทดลองสัมผัสดูก่อน เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ ครับ
       อย่างที่สี่คือ เมื่อเวลาผ่านไปสักพักลองสอบถามผู้ที่ได้ลองใช้เครื่องสำอางของท่านดูว่าเป็นอย่างไร หากผลตอบกลับมาดี ก็เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับร้านเครื่องสำอางออนไลน์ของท่านได้แล้ว
       อย่างที่ห้าคือ อย่าไปกลัวกับผลตอบรับว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี ขอเพียงเครื่องสำอางของท่านไม่มีสารประกอบที่ทำให้เกิดการแพ้ หรือไม่มีสารต้องห้าม  ถ้ามั่นใจว่าสินค้าของเรามีคุณภาพ ยังงัยก็ขายได้แน่นอนครับ
       จนกระทั่งมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว และมีสินค้าที่ท่านได้คัดเลือกไว้เป็นอย่างดีแล้ว ก็ค่่อยๆขยับขยายเพิ่มจำนวนสินค้าที่จะขายให้มากขึ้น เพื่อให้มีความหลากหลาย เมื่อท่านมีกำไรในระดับหนึ่งแล้ว ผมเชื่อได้เลยว่า ท่านต้องฝันที่จะมีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง เพื่อลงโฆษณา และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น อาจะศึกษาการทำเว็บไซต์เป็นของตัวเองขึ้นมาซักหนึ่งเวบ จากตัวอย่างเวบนี้ propink.blogspot.com เพื่อเพิ่มขีดความสารมารถในการโปรโมทสินค้าได้กว้างขวางขึ้น โดยการนำชื่อเวบไซต์ที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละครับ ไปโปรโมทกับเว็บไซต์อื่น  เมื่อถึงเวลานั้น งานอะไรก็ไม่เท่างานอิสระที่เราเป็นเจ้าของด้วยตัวเอง

     การเริ่มทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊คนั้น  ด้วยการหากลยุทย์การตลาดด้วยวิธีนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ด้วยการเริ่มต้นใช้เงินเพียงเล็กน้อย คุณก็สามารเริ่มต้นด้วยวิธีการเหล่านี้ได้ อย่างที่ผมได้เคยบอกไปในหัวข้อที่ชื่อว่า ทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊ค ก็สามารถทำได้ทุกคน เพราะแทบจะไม่ต้องใช้เงินลงทุน ถ้าใช้ก็ใช้น้อย ที่สำคัญเมื่อมีหน้าร้านออนไลน์แล้วต้องหมั่นโปรโมทสินค้าของคุณ อย่างถูกที่ถูกเวลาด้วยนะครับ








++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




ขอบคุณข้อมูลจากการขายสินค้าออนไลน์บนเฟสบุ๊ค






ทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊ค

       การทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊ค หรือว่าจะเป็นระบบ Socail network นั้น เป็นการโปรโมทสินค้า หรือว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่ของเรา ให้คนทั่วไปในโลกออนไลน์ได้รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งการทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊คนี้ก็คือเราจะทำอย่างไรให้มีคนมาสนใจในตัวสินค้าของเรา เพราะเราสามารถโปรโมทสินค้าของเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงสื่อโฆษณาอีกด้วยครับ

       การทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊ค ในปัจจุบันเป็น Social network ที่มีคนรู้จักมากเป็นอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ ในประเทศไทยเองมีผู้ใช้งานเฟสบุ๊คถึง 23 ล้านบัญชีเลยทีเดียว แต่ละบัญชีใช้เวลาออนไลน์อย่างน้อย 30 นาที และเป็นเว็ไซต์ที่คนไทยเข้าเยอะมากที่สุดในประเทศ  ดังนั้น!!! แน่นอนว่า สังคมออนไลน์บนเว็บไซต์นี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการโปรโมทสินค้าหรือเว็บไซต์ของคุณ  เพียงแค่คุณต้องสร้างข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง และมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าให้มากที่สุด และทำให้เป็นจุดสนใจแก่ผู้พบเห็น ให้คิดไว้ว่า ยิง่มีคนเข้าชมมากเท่าไหร่ ยิ่งถึงกลุ่มลูกค้าได้มากเท่านั้นครับ
       ซึ่งลูกค้าสามารถติดตามเพจนั้นๆของคุณได้เพียงแค่กด Like นอกจากนี้การทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊คจะเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณเพราะเป็นเว็บไซต์ที่คนเข้าเยอะเป็นอันดับสองรองจาก google เลยครับ
       แต่บางครั้งหากว่าเราทำการโปรโมทสินค้าบ่อยก็อาจจะทำให้เพื่อนเราในเฟจบุ๊คเกิดการรำคาญได้นะครับ ควรจะเว้นช่วงบ้าง เพราะบางคนใช้สื่อออนไลน์ในทางที่ผิด เช่นการแทครูปภาพไปในรายชื่อต่างๆที่เป็นเพื่อนเราในเฟจบุ๊คโดยที่บางคนไม่ได้ต้องการข้อมูลของเรา ทำให้การโปรโมทสินค้าเหล่านั้นไม่เกิดประโยชน์กับคุถณเลย แต่จะกลับสร้างความน่ารำคาญให้กับเพื่อนในเฟสบุ๊คเอานะครับ  ดังนั้นคุณจึงควรสร้างแฟนเพจของสินค้าของคุณขึ้นมาอีกหนึ่งอัน เพื่อให้ฌแพาะกลุ่มที่มีความสนใจในสินค้าของคุณเข้ามาติดตามข้อมูลสินค้าของคุณ ด้วยการแค่กด Like ก็สามารถติดตามข้อมูลสินค้าของคุณได้ตลอดแล้ว
       การทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊คนั้นสามารถทำได้ 3 แบบ profile แบบGroup  และแบบPage แบบสุดท้ายนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดครับ แต่ละอย่างมีความแตกต่างกันดังนี้ครับ
1.แบบ Profile  สามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ ว่าอยากให้คนอื่นเห็นข้อมูลของคุณได้มากน้อยแค่ไหน
2.แบบ Group จะเป็นการรวมกลุ่มกัน ของบุคคลที่สนใจในเรื่องเดียวกัน สามารถพูดคุยได้ในกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งสามารถตั้งค่าให้เป็นสาธารณะ หรือเฉพาะกลุ่มก็ได้ครับ แล้วแต่ตามต้องการ
3.แบบ Page เป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อโปรโมทสินค้า หรือแบรนด์สินค้า หรือจะเป็นธุรกิจที่คุณกำลังทำอยู่ สามารถเห็นได้ทุกคน จะมีความเป็นสาธารณะสูง เพียงแค่กด Like ลูกค้าก็สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของข้อมูลสินค้าของคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง

       ต่อไปนี้เป็นวิดีโอสอนการสร้าง Page จากเฟสบุ้คครับ ท่านสามารถทำตามวิดีโอนี้ได้เลยครับ




       ข้อดีของการทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊ค นั้นมีหลายอย่าง เช่นช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงสื่อโฆษณา เพราะการทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊คไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ได้ง่าย สามารถขยายช่องทางการตลาดให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น  สามารถโฆษณาและโปรโมทสินค้าได้ตลอดเวลา  ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น  จัดทำได้ง่ายสะดวกรวดเร็ว  และสามารวัดผลได้ด้วยจากการกด Like ของคนที่สนใจ เห็นแบบนี้แล้วใครที่คิดกำลังจะทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊ค  ขอแนะนำว่าอย่ารีรอ รีบลงมือทำเลยครับ





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




ข้อมูลจากคู่มือการใช้เฟสบุ๊คให้เกิดประโยชน์
วิดีโอจากSarunyaphat Tepsri





ชนิดของครีมหน้าขาว

       ชนิดของครีมหน้าขาวได้รับความนิยมเป็นอย่างมากใน โดยส่วนใหญ่ลูกค้าที่ซื้อเครื่องสำอางนี้จะเป็นตั้งแต่วัยรุ่นถึงวัยทำงายเลยก็ว่าได้ ซึ่งในปัจจุบัน ครีมหน้ามีให้เลือกหลายชนิดหลายราคา ตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักหมื่นบาทเลยครับ และสาเหตุที่ครีมหน้าขาวขายดีเพราะว่าสารที่ทำให้หน้าขาวนั้นแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
     
       1. ชนิดกระตุ้นการหลุดลอกของเซลผิวชั้นนอก
       ชนิดนี้ไม่ได้ลดการสร้างเม็ดสีโดยตรง แต่จะช่วยลอกเซลเก่าที่ตายไปแล้ว  จึงทำให้ผิวดูขาวขึ้น   ส่วนเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากพวกกรดของผลไม้ ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด กฎหมายควบคุมให้มีความเข้มข้นได้ไม่เกิน 15% ถ้าหากสูงกว่านี้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจทำให้เกิดการลอกจนแสบไหม้ได้ สาเหตุมาจากความเข้มข้นสูง จึงถูกนำไปใช้ทำ AHA Treatment ทาแล้วล้างออกเลย ไม่ได้ทิ้งไว้ตลอดคืนเหมือนกรดต่ำๆ  โดยจะทำแค่อาทิตย์ละครั้งเพื่อให้มีการหลุดลอกของเซลผิวชั้นนอกเร็วขึ้น ซึ่งแพทย์จะเป็นคนเลือกความเข้มข้นตวามความเหมาะสมของแต่ละคน
      ชนิดของครีมหน้าขาวชนิดที่ 2 คือ ชนิดยับยั้งการทำงานของเม็ดสีตามธรรมชาติ
       เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ที่อยู่ในชั้นล่างสุดของหนังกำพร้า เมื่อได้รับการกระตุ้นจากรังสียูวีจากแสงแดด จะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanin) เพิ่มขึ้นจึงทำให้ผิวพรรณดูคล้ำลง และเม็ดสีที่สร้างขึ้นนี้เองจะค่อยๆเคลื่อนตัวขยับขึ้นไปชั้นบน เพราะฉะนั้นแล้วสารที่จะทำให้ผิวขาวมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดเช่น
       กรดโคจิก(Kojic Acld)
       กรดชนิดนี้สร้างขึ้นจากเชื้อราชนิดหนึ่ง พบได้ตามธรรมชาติชอบเจริญเติบโตอยู่ในธัญพืช เช่น ถั่ว แป้งในเต้าเจี๊ยว ซีอิ้ว เหล้าขาว สาเก เหล่านี้มีส่วนผสมของโคจิกทั้งนั้น เมื่อนำมาผสมในครีมหน้าขาว ก็พบว่าสามารถออกฤทธิ์เฉพาะที่ได้ดีพอสมควร  ในปีค.ศ.1994 จึงอณุญาติให้ใช้กรดนี้ในประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกโดยมีความเข้มข้นที่ 1%  ปัจจุบันใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่พบว่าอัตรการแพ้ก็ถือว่าสูงเพราะถ้ามีความเข้มข้นสูงขึ้น ก็จะเกิดอาการแพ้ เช่น อาจจะทำให้เกิดผื่นบวมแดง คัน มักพบภายในเวลา 48-72 ชั่วโมงหลังใช้ ยิ่งความเข้มสูงก็มีโอกาสแพ้ได้ง่ายขึ้น
       อาร์บูติน และสารธรรมชาติสกัดจากชะเอมเทศ
       สารชนิดนี้จะช่วยออกฤทธิ์ไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ในเซลที่สร้างเม็ดสี เช่นเดียวกับกรดโคจิก แต่พบผู้ที่แพ้อาร์บูตินน้อยมาก
       สารธรรมชาติจากชาเขียว , สารสกัดจากเปลือสนฝรั่งเศส , หรือสารสกัดจากเม็ดองุ่น
       ชาเขียวจะให้สาร Epigallocatechin (EGCG) ทั้งหมดเป็นสารในกลุ่ม โพลีฟีนอล  มีคุณสมบัติเป็นแอนติอ๊อกซิเด้น  ป้องกะนการเกิดเอกซิเดชั่นจากสารอนุมูลอิสระตัวร้าย ที่ทำให้เกิดวามเสื่อมของเซลล์ต่างๆ รวมทั้งเซลล์ผิวและเซลล์สร้างเม็ดสีด้วย เมื่อเซลล์สร้างเม็ดสีเสื่อมลงก็จะทำให้เกิดเป็นฝ้า กระ หรือรอยด่างดำ
       วิตามินซี และวิตามินบี3 
       วิตามินซีนั้นมีฤทธิ์เป็นได้ทั้งแอนติอ๊อกซิเดนท์ และมีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดสีให้น้อยลง จึงทำให้ผิวพรรณดูขาวใสขึ้นได้ มีให้เลือกหลายรูปแบบทั้งชนิดครีม โลชั่นทาผิว โฟม และแบบผงเขย่าผสมกับตัวทำละลายก่อนใช้ เป็นต้น  ส่วนงิตามินบี3 นั้น จะออกฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อตัวของเม็ดสีที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อจะส่งขึ้นไปผิวหนังชั้นบน จึงทำให้มองเห็นรอยดำได้ไม่ชัดเจน
       ชนิดของครีมหน้าขาวที่ออกฤทธิืเพื่อช่วยยับยั้งการทำงานของเม็ดสีควรจะเห็นผลประมาณ 4-6 สัปดาห์  ส่วนเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารซึ่งจะเข้าไปช่วยกระบวนการหลุดลอกของเซลล์ผิว ควรจะเห็นผลชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1-2 สัปดาห์

       ชนิดของครีมหน้าขาวทั้งหลายเหล่านี้ ท่านผู้ขายควรจะต้องทำการติดตามลูกค้าของท่านดูนะครับว่าใช้แล้วเห็นผลมากน้อยแค่ไหน ให้ลูกค้าทำพรีวิวมาให้ดูก็ได้ครับ เพื่อเราจะได้มั่นในสินค้าที่เราขาย และผู้ใช้เองจะได้มั้นใจในสิ่งที่เค้ากำลังใช้ เป็นการส่งผลให้สินค้าของเราขายดียิ่งขึ้น และยังเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราได้ติดตามเอาใจใส่ลูกค้าหลังการขาย เพื่อเพิ่มความไว้วางใจด้วยครับ






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ข้อมูลอ้างอิงจากDr.Cosmatics.com



























เครื่องสำอาง(ธุรกิจออนไลน์)

       หากเราไม่มีเงินลงทุนมากพอที่จะไปก่อร่างสร้างธุรกิจอะไรที่ต้องใช้เงินเป็นหลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน แล้วละก็ ผมขอแนะนำธุรกิจ เครื่องสำอาง ธุรกิจออนไลน์ที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ เพราะการเริ่มต้นนั้น ไม่ต้องใช้เงินลงทุนที่มาก บางคนเริ่มต้นด้วยเงินเพียงแค่หลักร้อยก็มีครับ พอขายได้ ก็เริ่มต่อยอดทำกำไรได้เพิ่มขึ้นเป็นหลักพัน หลักหมื่น บางคนที่ทำอย่างจริงจังได้ถึงหลักแสนเลยก็มี
     
       ท่านรู้หรือไม่ว่าประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกเครื่องสำอางเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และอันดับ 2 ของทวีปเอเชีย และที่สำคัญคือ ผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องสำอางส่วนใหญ่นั้น 97% เป็นธุรกิจ SMEs หรือเรียกอีกอย่างว่าาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมนั่นเอง สาเหตุที่ขายดีนั่นก็เป็นเพราะว่า เครื่องสำอางเป็นเหมือนปัจจัยที่ 6 ของผู้หญิงไปแล้ว จากการสำรวจพบว่า หญิงในวัยทำงานมีเพียง 25% เท่านั้นที่กล้าออกนอกบ้านโดยไม่มีเครื่องสำอาง อีก 75% ต้องมีเครื่องสำอาง
       ในการทำธุรกิจเครื่องสำอางออนไลน์นั้น เป็นธุรกิจออนไลน์ที่กำลังนิยมเป็นอย่างมาก เพราะลงทุนไม่มาก กำไรดี  ขายได้ง่าย หากคุณมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และมีผลิตภัณฑ์เตรียมขายไว้มากมาย ลองมาดูกันว่าจะทำธุรกิจนี้ได้อย่างไร
      ยกตัวอย่างเช่น หากท่านต้องการขายครีมบำรุงผิวชนิดหนึ่ง โดยมีกลุ่มเป้าหมายไว้แล้ว หากคิดแบบจำกัดงบประมาณเพื่อให้ลงทุนน้อยไว้ก่อนซัก 1 กิโลกรัม ในช่วงแรกเริ่ม  ราคาขายนั้นจะถูกหรือแพงก็ขึ้นอยู่กับความพิเศษของครีมครับ  และองค์ประกอบอื่นๆอาจทำให้ราคาต้นทุนสูงขึ้น เช่นแพ็กเกจที่บรรจุ และฉลากสติกเกอร์ที่ติดอยํุ่บนตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการซื้อตลับเพื่อนำมาบรรจุนั้น จะต้องมีการสั่งขั้นต่ำที่ 100 ชิ้น และสติกเกอร์ต้องมีการสั่งทำที่ 1,000 ชิ้นขึ้นไป ส่วนราคาต้องต่อลองกับทางโรงพิมพ์ดูครับ หรืออาจจะหาที่เขารับทำในราคาไม่แพงก็ได้ครับ
       หากท่านสามารถหาแหล่งผลิตครีมที่ต้นทุนไม่สูงมากนัก บรรจุภัณฑ์ราคาปานกลาง และสติกเกอร์ที่ราคาไม่แพง ท่านก็สามารถตั้งราคาขายให้ต่ำลงมากว่าคู่แข่ง ก็อาจทำให้สินค้าอขงเราขายดีขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ครับ แต่ถ้าหากว่าคูรภาพของครีมสูงพอที่คิดว่าลูกค้าจะยอมจ่ายได้ในราคาที่แพงขุ้น เราก็สามารถเพิ่มราคาขายได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องคู่แข่งเเล้ว
       ในเว็บที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้จะมีบอกถึงตั้งแต่เริ่มการขายสินค้าออนไลน์ผ่านเฟสบุ้ค 7ขั้นตอนการสินค้าออนไลน์   5วิธีการขายสินค้าออนไลน์  รวมถึงการรับมือกับความเสี่ยง ที่อาจเกิดขึ้นและอื่นๆอีกมากมายให้ท่านได้ศึกษาอย่างครบถ้วนเลยครับ

       นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจเครื่องสำอางค์ได้อะไรมากกว่าที่คิด และที่จริงแล้วราคาต้นทุนก็ถือว่าราคาก็ใกล้เคียงกัน แต่ราคาขายที่ตั้งให้สูงนั้นก็เพื่อกำไรที่มากขึ้น ด้วยเหตุนี้เองธุรกิจการขายเครื่องสำอางออนไลน์จึงเป็ฯที่สนใจของคนที่อยากจะมีเงินโดยไม่ต้องลงทุนมาก และยังไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านอีกด้วยเพราะเพียงแค่เราสามารถติดต่อกับทุกคนได้ด้วยโลกอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก ก็สามารถหาลูกค้าจาก socail network ได้เป็นอย่างมาก









++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



รับมือกับความเสี่ยงก่อนทำธุรกิจ

      คนรุ่นใหม่หลายๆคนในปัจจุบันย่อมคิดที่จะอยากมีงานทำที่เป็นเจ้าของตัวเอง เพราะเบื่อกับงานประจำที่ทำอยู่เป็นจำนวนมาก และการที่เรามีธุรกิจเป็นของตัวเองนั้น เราสามารถที่จะควบคุม กำหนดแนวทางได้ด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องไปรอรับเงินเดือนเหมือนมนุย์เงินเดือน  แต่ถึงอย่างไรก็ตามย่อมมีเราต้องเตรียมการรับมือกับความเสี่ยงก่อนทำธุรกิจในหลายๆด้าน ความเสี่ยงนี้จะทำให้ถึงกับเจ๊งเลยก็เป็นได้ แต่หากท่านอยากจะมีความแข็งแกร่งและกล้าพอที่จะทำ ก็เชิญทุกท่านมารู้จักกับการรับมือกับความเสี่ยงก่อนทำธุรกิจเพื่อจะได้รับมือกับปัญหาที่ อาจจะเกิดขึ้นได้เลยครับ

       โลกเรานี้มีธุรกิจใหม่ๆที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายคนประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเช่นกัน อยู่ที่ว่าท่านจะมีไอเดียที่ช่วยสร้างโอกาสในการทำตลาดธุรกิจที่มีผู้แข่งขันสูงได้อย่างไร ดังนั้นความคิดสร้างสรรค์นี้เองที่จะต้องพัฒนาอยู่เสมอ เพื่อให้อยู่เหนือกว่าคู่แข่ง หากท่านมีการเตรียมตัวที่ดี  ความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จก็มีสูง
       ธุรกิจนั้นทำให้รวยได้จริงหรือ  หากลองศึกษาดูจากผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายต่อหลายคน ที่กลายเป็นเศรษฐีได้ ทุกคนล้สนแต่เป็นเจ้าของธุรกิจกันทั้งนั้น  ส่วนประจำที่ทำอยู่นั้นก็รวยได้ แต่ก็ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ถึงมีก็มีน้อยมาก
       การจะทำธุรกิจเป็นของตัวเองนั้นทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ท่านต้องรู้จักตัวเองให้ดีก่อนว่าชอบทำอะไร แล้วลองใช้ความคิดสร้างสรรค์ เฟ้นหาไอเดียดีๆ ว่าท่านจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเงินได้รึเปล่า  สำหรับวิธีการที่จะใช้สร้างไอเดียแบบไม่ยากนั้นหลักๆก็มีอยู่ 2 วิธี อย่างแรกคือ ท่านลองคิดดูว่าท่านมีความถนัดในเรื่องอะไร ก็จงทำในสิ่งที่รักและถนัดนั้นซะ เช่นหากชอบทำกับข้าวชอบทำอาหาร ก็ลองเปิดร้านอาหารดูก็ได้ครับ  วิธีที่สองก็คือ การสร้างคุณค่าบางอย่างขึ้นมา ที่คนอื่นยังทำไม่ได้ หรือมองไม่เป็นคุณค่านั้น  อริสโตเติ้ล เคยพูดว่า "ความลับของการทำธุรกิจนั้นคือการรู้อะไรสักอย่างหนึ่งที่คนอื่นยังไม่รู้นั่นเอง" เช่น หากแถวๆบ้านยังไม่มีร้านขายของชำ ท่านก็อาจจะลองศึกษาทำเลเพื่อเปิดร้านขายของชำ หรือถ้ามีเงินมากพอก็เปิด 7-11 ซะเลย เพื่อช่วยสร้างความสะดวกสบายให้คนในย่านนั้น
       ถึงอย่างไรก็ตามย่อมมีความเสี่ยงก่อนทำธุรกกิจเสมอ และการที่เราจะเลี้ยงความเสี่ยงนี้ไปได้นัั่นก็คือท่านต้องมีความรู้และความอยากในการทำธุรกิจนั้นด้วย  และอีกสิ่งหนึ่งนั่นก็คือเงินทุน  สามสิ่งนี้จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของท่านให้สำเร็จและรุ่งเรือง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่มีเงินแล้วแต่ไม่กล้าลงทุนเพราะกลัวว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา ก็จะลุกไม่ได้เลย เพราะหมดเงินไปกับการลงทุนแล้ว  หรือพวกมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานประจำอยู่ ก็ได้แต่นั่งคิดนั่งฝันว่าอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ก็เสียดายเงินที่เอามาลงทุน เพราะกว่าจะเก็บเงินได้แต่ละบาท สายตัวแทบขาด ความฝันนั้นก็เลยหลุดลอยไปทั้งๆที่ตัวเองก็อยากทำ และก็มีความสารถในการทำอยู่แล้ว  โดยไม่ทันคิดเลยว่า หากเขามีการวางแผนที่ดี  ธุรกิจที่สร้างขึ้นมาจากสองมือเรานี้ จะสร้างประโยชน์ให้กับชีวิตอย่างมหาศาล เพียงแค่ท่านกล้าพอที่จะลงมือทำ กล้อพอที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

       สำหรับการรับมือกับความเสี่ยงก่อนทำธุรกิจนี้ ผมได้นำเอาวิดีโอของคุณธนกร มาช่วยอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้นักธุรกิจมือใหม่เกิดความล้มเหลว ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการรับมือกับความเสียงก่อนทำธุรกิจได้เป็นอย่างดีเลยครับ


     
        การเริ่มต้นทำสินค้าออนไลน์ก็ถือว่าเป็นสิ่งสร้างความสะดววกให้กับผู้ซื้อและผู้ขายได้เป็นอย่างดี ซึ่งตอนนี้ก็กำลังเป็นที่นิยมทำกันอย่างแพร่หลาย ก็เป็นธุรกิจที่ไม่ควรมองข้ามอีกเช่นกัน

       หากท่านที่กำลังคิดที่จะอยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง อย่าหยุดที่จะหยุดฝัน คิแต่สิ่งที่ดี เพื่อเป็นแรงบัลดาลใจให้ลุกขึ้นมาทำในสิงที่ฝัน ความเสี่ยงนั้นไม่อาจทำอะไรได้ หากท่านเตรียมความพร้อมรับมันอย่างถูกวิธี เพราะฉะนั้นหากท่านไม่ยอมแพ้ใจตัวเองเสียก่อน ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อมแน่นอน หวังว่าบทความเรื่องรับมือกับความเสี่ยงก่อนทำธุรกิจนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับท่านที่กำลังจะลงทุนทำธุรกิจเป็นของตัวเองครับ







+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ส่วนหนึ่งของข้อมูลจากความเสี่ยงก่อนทำธุรกิจ
ขอบคุณวิดีโอจากคุณธนกร






หาเงินจากสินค้าออนไลน์

       ก่อนจะเริ่มหาเงินจากสินค้าออนไลน์  รอรับเงินแบบสบายๆอยู่ที่บ้านนั้น แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก เพราะมีหลายๆธุรกิจบนเครือข่ายออนไลน์ที่สร้างแบรนด์ของตัวเองให้ประสบความสำเร็จมาแล้ว โดยเริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆบนโลกออนไลน์นี่แหละครับ  ท่านเองก็สามารถทำได้เช่นกัน 

      สิ่งที่ท่านจะต้องสำรวจตัวเองก่อนที่จะเริ่มหาเงินจากสินค้าออนไลน์ ท่านต้องดูว่าตัวเองมีคุณสมบัติหรือมีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับการค้าขายบนโลกออนไลน์มากน้อยแค่ไหนโดยเริ่มดูตามหัวข้อดังนี้ครับ

1. พอจะเข้าใจภาพรวมของการขายสินค้าออนไลน์หรือไม่ ว่าการขายสินค้าออนไลน์หมายถึงอย่างไร 
2. มีอีเมล และมีสินค้าที่จะจำหน่ายรอไว้แล้ว
3. ใช้เฟซบุ๊คเป็นหรือยัง รู้จักเฟซบุ๊คแฟนเพจมั้ย เพราะสมัยนี้สื้ออนไลน์ทางเฟซบุ๊คกำลังมาแรง
4. พอจะเข้าใจหรือเคยเล่นแอพพริเคชั่นเน็ตเวิกต่างๆอยู่บ้างมั้ย มีความรู้มากน้อยแค่ไหน
5. รู้ข้อมูลของสินค้าที่จะนำมาขายอย่างลึกซึ้ง สามารถตอบคำถามจากผู้ที่ลังเลหรือสงสัยได้ เรียกอีกอย่างว่าเป็นที่ปรึกษาการขายนั่นแหละครับ
6. สามารถใช้กล้องถ่ายรูปจากอุปกรณ์ต่างๆได้บ้าง
7. สามารถส่งของผ่านไปรษณีย์ได้

       ลองตรวจดูนะครับว่าท่านยังขาดความรู้ในเรื่องใดไปอยู่บ้าง เพราะแต่ละเรื่องที่นำมาให้ท่านสำรวจตัวเองนั้นล้วนแต่เป็นพื้นฐานของคนที่ต้องการจะขายสินค้าออนไลน์ ที่จะต้องรู้และต้องมีกันอยู่แล้ว  แต่สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่มีความรู้มากพอหรือมีน้อยยังไม่เข้าใจซักเท่าไหร่ แนะนำให้เข้ามาศึกษาที่ google ได้เลยครับ เพื่อจะได้เสริมความรู้ในการหาเงินจากสินค้าออนไลน์ และที่สำคัญไม่ยากอย่างที่คิดแน่นอนครับ  ดังตัวอย่างจากเว็บนี้ครับ propink.blogspot.com เว็บนี้เป็นเว็บที่ผมเพิ่งจะทำขึ้นมาเพื่อไว้หาเงินจากการขายสินค้าออนไลน์ แต่ถ้าหากท่านยังทำเว็บไม่เป็นก็แนะนำให้สร้างแฟนเพจจากเฟซบุ๊กไปก่อนก็ได้ครับ ซึ่งวิธีการจะง่ายกว่าที่จะมาสร้างเว็บเยอะเลย  แต่ถ้าหากว่าท่านต้องการต่อยอดอยากมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เพื่อที่จะได้ขยายตลาดจากการหาเงินจากสินค้าออนไลน์ได้มากขึ้น ก็ลองมาฝึกทำเว็บไซต์ได้จากเว็บ blogger.com ได้เลยครับ เป็นโปรแกรมที่ทำได้ง่าย ส่วนคู่มือนั้น ก็แนะนำให้เข้าไปดูในกูเกิ้ล จะมีบอกเยอะแยะเต็มไปหมดครับ

       เพื่อที่เราจะได้นั่งกินนอนกินอยู่กับบ้านแบบไม่มีใครว่าเราได้ อีกทั้งยังมีอิสระภาพทางการงาน เป็นงานที่เพิ่มความสะดวกให้กับทั้งคนขายและคนซื้อ ถ้าหากทำแล้วขายดี ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหาอยู่แล้วละก็  รับรองว่าการหาเงินจากสินค้าออนไลน์ก็สามารถเกษียรงานประจำที่ทำอยู่เพื่อมาเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองได้เลยครับ





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ภาพจากgoogle

หุ้นหลายเด้ง

       วอลเตอร์ สกลอสเป็นนักลงทุนราคาถูก แต่สามารถหาหุ้นหลายเด้งด้วยเงินลงทุนที่ถูกๆ เพราะว่าเขาเป็นประหยัด จึงไม่อยากที่จะใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เขาจึงได้หาวิธีการในการหาหุ้นหลายเด้ง เพื่อจะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับการลงทุนหลายที่  บทความนี้เราจะมาดูเทคนิคของวอลเตอร์ สกลอส ว่าเขามีเทคนิคอย่างไร  กับการลงทุนที่น้อยแต่ได้มาซึ่งหุ้นหลายเด้ง

       วอลเตอร์ สกลอส เกิดปี 2458  พออายุ 18 ปีเขาก็เริ่มทำงานในย่านวอลสตรีท โดยเป็นเด็กส่งเอกสาร  สกลอสไม่เคยได้รับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยเลย  แต่โชคดีที่เขาได้ทำงานในบริษัทของเบนจามิน เกรแฮม จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเขา คือในปะฃี 2498  เขาสามารถตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนเป็นของตนเองได้ เขาทำงานจนกระทั่งปีพ.ศ.2543 ในตลอดเวลา 45 เขาได้จัดการลงทุนให้แก่กองทุนของเขาอย่างยอดเยี่ยม ซึ่ีงในตอนนั้นเขามีเงินกองทุนเริ่มต้นเพียง 10,000 ดอลลาร์  ผ่านไป 45  ปี เขาได้เขาได้ผลตอบแทนกองทุนโดยรวมอยู่ 12 ล้านดอลลาร์
       ในการเลือกหาหุ้นนั้น สกลอส ก็ใช้การคำนวณและวิธีการทางสถิติอย่างง่ายๆ เข้ามา  เพื่อเฟ้นหาหุ้นเพื่อให้ได้หุ้นหลายเด้ง เขาและลูกของเขาที่เป็นผู้ช่วยเพียงคนเดียว เคยถูกถามว่า " พวกคุณใช้วิธีการอะไรในการเลือกเฟ้นหาหุ้น? "  เอ็ดวิน ลูกชายของสกลอส ตอบด้วยความมั่นใจว่า  "เราใช้วิธีการเลือกซื้อหุ้นที่ถูกที่สุดเท่านั้นเอง ซึ่งทฤษดีและวิธีการสมัยใหม่อาจจะมากเกินไปสำหรับการลงทุน" 

       หลักการลงทุนของวอลเตอร์ สกลอส
       โดยปกติเขาจะถือหุ้นไมต่ำกว่า 100 ตัว การที่จะมีหุ้นซัก 100 ตัวคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนทั่วไป แต่หุ้น 100 ตัวของสกลอสนั้น เขาได้มาในราคาประมาณ 40% ของราคาเฉลี่ยของตลาด  มีน้อยคนมากที่จะสามารถซื้อหุ้นส่วนใหญ่มาในพอร์ตการลงทุนของตนเองได้ในราคานี้
       เทคนิคการค้นหาหุ้นหลายเด้ง ของ สกลอส
       เนื่องงจากว่าสกลอสเป็นคนประหยัด แนวทางการแสวงหาหุ้นหลายเด้ง ของเขาจึงเป็นแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะมีอยู่หลายแนวทางด้วยกันคือ
1. จะต้องเป็นหุ้นของบริษัทที่มีหนี้สินน้อยมากหรือไม่มีเลย จึงทำให้มีความปลอดภัยสูงมาก
2. ต้องมีราคาที่ลดลงจากราคาของทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดไม่น้อยกว่า 20% โดยราคาของทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด คำนวณจากเงินสด อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินที่มีตัวตนทั้งหมด เช่น รถยนต์ เครื่องจักร เป็นต้น 
3. มีการจ่ายเงินปันผลในระดับที่ดีและสม่ำเสมอ
4. คณะผู้บริหารถือหุ้นของบริษัทเป็นจำนวนมาก 
5. ผลตอบแทนของผู้บริหารเป็นไปอย่างซื่อสัตย์และยุติธรรม
6. มีเงินสดในบริษัทเป็นจำนวนมาก
7. ควรจะซื้อหุ้นหลังจากวันที่ได้รับสิทธิเงินปันผลแล้ว เพราะจะทำให้ราคาตกลงมา  และจะเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน

       นี่คือหลักการและเทคนิคของวอลเตอร์ สกลอส ที่ทำให้เขาได้หุ้นหลายเด้ง ตลอดเวลาที่เขาทำงานจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีมาโดยตลอด สุดท้ายนี้ขอสรุปเป็นคำพูดของวอลเตอร์ สกลอสเลยนะครับ "จงทำในสิ่งที่คุณอยากทำ มากกว่าที่จะทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ แต่ต้องทำเพียงเพราะเพื่อเงินเท่านั้น" , "ผมได้เรียนรู้ว่า ผมแค่ต้องพยายามทำให้ตัวเองอยู่รอดในตลาดหุ้นให้ได้ คล้ายๆกับการอยู่รอดในสงคราม และไม่ขาดทุน ในที่สุดก็จะประสบความสำเร็จ" นี่เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งของวอลเอตร์ สกลอสนะครับ  เพื่อไว้เป็นแนวทางให้กับท่านที่กำลังจากเล่นหุ้นเพื่อให้ได้หุ้นหลายเด้งเหมือนแบบวอลเตอร์ สกอส..







+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ วอลเตอร์ สกลอส



หุ้น10เด้ง

    ปีเตอร์ ลินช์ ได้คิดหาวิธีการว่าจะทำอย่าไงให้ได้หุ้น 10 เด้งโดยการมองหาหุ้นที่จะเติบโตในระยะยาว การศึกษางบการเงินและการดูตัวเลขที่สำคัญ  และวางหลักการสำหรับการลงทุนในหุ้นวัฏจักร หุ้นฟื้นตัว และหุ้นโตเร็ว  ก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับปีเตอร์ ลินช์กันก่อนนะครับ

       ปีเตอร์ ลินช์ เป็นผู้บริหารกองทุนรวมที่ใหญ่ที่สุดกองหนึ่งของสหรัฐอเมริการที่มีชื่อว่า ไฟเดลลิตี้ แมกเจลสัน ตั้งแต่ปี 2520 จากนั้นเขาได้สร้างความฮือฮาให้เกิดขึ้นในวงการตลาดหุ้นของอมเริกา  ด้วยการทำให้ผลตอบแทนของกองทุนของเขาออกมาสูงถึง 28 เท่า ภายในเวลา 13 ปี คิดง่ายๆก็คือ ถ้าในปี2520 เขาลงทุนไป 1 ล้านบาท แปลว่าปี 2533 เขาจะได้รับเงินถึง 28 ล้านบาท ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเลยครับ ซึ่งหลักการของเขามีดังนี้คือ
       นักลงทุนทั่วไปสามารถกลายเป็นนักลงทุนผู้เชี่ยวชาญได้ และสามารถเลือกหุ้นที่จะเอาชนะตลาดได้  เช่าเดียวกับนักลงทุนมืออาชีพ  นักลงทุนทั่วไปเหล่านี้  เขาสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างมหาศาล เขาเพียงแค่สังเกตแนวโน้มของธุรกิจเหล่านั้นโดยการไปสัมผัสด้วยตัวของเขาเอง  เริ่มต้นจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดคือศูนย์การค้าไปยังสถานที่ทำงาน เราอาจจะพบบริษัทที่มีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงก็เป็นได้ครับ
       ความสำเร็จอย่างสูงในที่นี้หมายถึงหุ้น 10 เด้ง ซึ่งก็คือหุ้นที่มีราคาสูงขึ้นไปถึง 10 เท่าตัว หรือมากกว่านั้น  และทำให้พอร์ตหุ้นของคุณเป็นพอร์ตที่ดีเยี่ยม ปีเตอร์ ลินช์ ได้คิดหาวิธีการว่าจะทำอย่าไงให้ได้หุ้น 10 เด้งโดยการมองหาหุ้นที่จะเติบโตในระยะยาว การศึกษางบการเงินและการดูตัวเลขที่สำคัญ  และวางหลักการสำหรับการลงทุนในหุ้นวัฏจักร หุ้นฟื้นตัว และหุ้นโตเร็ว เขาได้แบ่งหุ้นออกเป็น 6 ประเภทด้วยกันคือ

  1. หุ้นโตช้า ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่และเก่าแก่โดยบริษัทเหล่านี้มักจะมีรายได้และกำไร มีอัตราการเติบโตมากกว่าอัตราของเศรษฐกิจไม่มากนัก ซึ่งปีเตอร์ ลินช์ ไม่ค่อยหุ้นในกลุ่มประเทศนี้
  2. หุ้นแข็งแกร่ง เช่นหุ้นน้ำอัดลม  คอลเกตปาล์มโอลีพ เขามองว่าการซื้อหุ้นเหล่านี้ก็เหมือนกับการไต่ขึ้นภูเขาเตี้ยๆ การที่จะทำกำไรได้สูงๆติดต่อกันเป็นเวลานานเขามองว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก  แต่พอมาเห็น วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบหุ้นประเภทนี้เขาก๋เปลี่ยนความคิดว่า มาลองดูบ้างก็ได้ เพื่อปกป้องในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี
  3. หุ้นโตเร็ว นี่คือการลงทุนที่เขาชอบ บริษัทขนาดเล็กมาแรงที่เติบโตได้ปีละ 25% นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ยังมีโอกาสเติบโตได้ 10 เด้ง 20 เด้ง 30 เด้ง มากกว่านั้นเลยทีเดียว  เขาให้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า บริษัทที่โตเร็ว ไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็ว
  4. หุ้นวัฏจักร เป็นหุ้นของบริษัทที่มีรายได้และกำไรขึ้นลงเป็นประจำสม่ำเสมอ และพอจะคาดการณ์ได้ว่าทิศทางต่อไปจะเป็นอย่างไร ชเ่น เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หุ้นเล็ก หุ้นเคมี และหุ้นอื่นๆ ก็น่าจะดีขึ้น เพราะผู้คนต้องขยายงานมากขึ้น (จังหวะเวลาจึงเป็ที่สำคัญที่สุดของหุ้นกลุ่มนี้) คุณต้องจับทิศทางให้ได้ว่าเศรษฐกิจกำำลังไปทางไหน เพราะถ้าคาดการณ์ผิด ก็มีสิทธิ์เจ๋งเหมือนกันครับ
  5. หุ้นฟื้นคืนชีพ เป็นหุ้นที่มีราคาตกต่ำ บางบริษัทอาจเข้าขั้นที่จะล้มละลายไปเลยก็มี มีตัวอย่างบริษัทหนึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ เกิดการขาดสภาพคล่องตัวจนเกือบจะล้มละลาย  แต่หลังจากที่บริษัทได้ปรับปรุงหลายสิ่งหลายอย่างจนกลับมาทำตลาดได้แล้ว ราคาหุ้นก็พุ่งกระฉูดดด
  6. หุ้นทรัพย์สินมาก  คือบริษัทที่มีทรัพย์ซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองข้ามไป ปีเตอร์ลินช์ ได้แนะนำการดูบริษัทเหล่านี้คือ มีเงินสดเยอะ มีหนี้น้อย และมีอสังหาริมทรัพย์ เป็นจำนวนมาก เป็นต้น แต่หวังว่าคงไม่เจอบริษัทจำพวกที่มีน้อยแต่ทำเหมือนมี แต่ความจริงก็ไม่มี

       คราวนี้เรามาดูกันครับว่าปีเตอร์ ลินช์ชอบหุ้นแบบไหน
1. เป็นชื่อบริษัทที่ฟังดูแล้วน่าเบื่อ ไม่ค่อยมีความสำคัญ อย่างเช่นบริษัทที่ผลิตจุกฝาควดน้ำ เขามองว่าเป็นข้อดี เพระาผุ้คนมักจะไม่สนใจในสิ่งที่ดูแล้วน่าเบื่อ

2. เป็นบริษัที่ผลิตสินค้าที่ดูแล้วน่าเบื่อหน่าย ก็จะสามารกันคนที่ไม่ฉลาดออกไปได้

3. เป็นบริษัทที่ทำอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบทำเช่น บริษัทขยะ

 4. เป็นหุ้นของบริษัทที่แตกตัวออกมา แสดงว่าผู้บริหารบริษัทนั้นต้องเห็นความสามารถและมีความมั่นใจในบริษัทลูกที่แตกตัวออกมา

5. เป็นหุ้นที่สถาบันลงทุนไม่ชอบที่จะลงทุนด้วย ต้องสังเกตดูว่าบริษัทไหนที่มีการถือหุ้นไว้น้อยๆหรือไม่ได้ถือเลย นั่นแหละครับ 

6. เป็นหุ้นที่รู้สึกว่ามีปัญหาบางอย่างที่กำลังคุกคามอยู่ เช่นปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการปะท้วง สิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสดี ที่จะได้หุ้นดีราคาต่ำ

7. เป็นบริษัทที่ประสบปัญหาขั้นร้ายแรง เช่นโรงงานระเบิด กระบวนการผลิตที่ทำให้พนักงานเสียชีวิต

8. เป็นในอุตสาหกรรมที่กำลังแย่ เช่นพวกที่ผลิตสินค้าได้ในราคาต้นทุนที่ต่ำ เป็นต้น จึงจะทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

9. เป็นบริษัทที่มีจุดเด่น เช่น บริษัทคอลเกตปาล์มโอลีฟ เป็นต้น

10. ผู้คนต้องซื้อสินค้าของบริษัทนี้เรื่อยๆ เช่นบริษัท อิชิตัน โออิชิกรีนที พวกนี้เป็นต้น

11. เป็นบริษัทที่ชอบใช้เทคโนโลยี เช่นพวก 7-11 ที่ใช้ เครื่องคิดสินค้าเป็นเครื่องคิดเลขไปในตัว มีเทคโนโลยีใหม่ๆ

12. คนในบริษัทกำลังซื้อหุ้นเป็นของตัวเองกลับคืน นั่นแปลว่าบริษัทนี้กำลังไปได้ดี 

13. บริษัทกำลังซื้อหุ้นคืนอยู่ เหมือนกับข้อ 12. นั่นแหละครับ แสดงถึงว่าบริษัทต้องมีอนาคตที่ดีแน่ และหุ้นต้องมีอนาคตที่ดีตามไปด้วยนะครับ

       บทสรุปของบทความหุ้น10เด้งนี้ผมขอสรุปเป็นคำพูดของปีเตอร์ ลินช์เลยนะครับ  ปีเตอร์ ลินช์ บอกว่า "ทุกๆคน ต่างก็มีความเฉลียวฉลาดที่จะลงทุนในตลาดหุ้นได้เพียงแค่จบคณิตศาสตร์จากชั้นป.5 มาได้ คุณก็สามารถทำได้ครับ"
"จงลงทุนในธุรกิจที่คนโง่สามารถบริหารได้  เพราะในวันใดวันหนึ่งธุรกิจที่คุณลงทุนไว้ อาจจะมีคนโง่ๆเข้ามาบริหารก็เป็นได้"
"หัวใจในการทำกำไรในหุ้นคือ ความไม่กลัว"
"การลงทุนเป็นที่สนุกสนาน ตื่นเต้น และอันตราย ถ้าคุณไม่ได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี"
"เบื้องหลังของหุ้นทุกตัวนั่นก็คือ บริษัทนั่นเอง ค้นหาให้เจอว่าเขากำลังทำอะไรอยู่"  จดจำคำพูดเหล่านี้ของปีเตอร์ ลินช์ไว้นะครับ เพราะคุณอาจจะทำหุ้น10เด้งได้เหมือน ปีเตอร์ ลินช์..







เบนจามิน เกรแฮม

      เบนจามิน เกรแฮม ผู้ที่เป็นอาจารย์สอนวาชาเรื่องการลงทุนให้แก่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ผู้เป็นกูรูมหาเศรษฐีด้านการลงทุน  นอกจากนี้เบนจามิน เกรแฮมยังถือได้ว่าเป็นผู้ที่คิดค้นวิธีการเล่นหุ้นยังงัยให้ได้หุ้นหลายเด้ง ในบทความนี้จะพาท่านย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขาว่าเดิมทีเขาเป็นใคร เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับตัวเขาบ้าง และหุ้นหลายเด้งเขาทำอย่างไร

      ชีวิตและการลงทุนของเบนจามิน เกรแฮม 
       เกรแฮมเกิดที่กรุงลอนดอนในปี 1894 หลังจากนั้นครอบครัวของเขาย้านมาอยู่ในสหรัฐอเมริกา เมื่อมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน บิดาของเขาก็เสียชีวิตลง  แม่ของเขาก็ต้องสูยเสียเงินออมเกือบทั้งหมด อันเนื่องมาจากวิกฤตทางเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น  ด้วยเพราะเหตุนี้เอง เกรแฮมต้องอดทนเป็นอย่างมากเป็นเวลานานเพื่อเอาชนะความยากจนนี้ไปให้ได้ ในที่สุดเขาก็สอบเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยโครลัมเบียที่เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา เพื่อหวังว่าเรียนจบมาแล้วจะได้มีงานที่ดีทำ
      หลังจากที่เรียนจบแล้ว เขาได้เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยนี้ และทำงานเป็นนักวิจัยทางการเงินและการลงทุน  นอกจากนี้แล้วเขายังทำงานเป็นนักค้าหุ้นที่บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง  ผลงานของเขาโดดเด่นมากจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและหุ้นส่วนของบริษัท เขาสามารถทำเงินได้เป็นจำนวนมากจากอาชีพนี้  ได้รับผลตอบแทนประมาณ 5แสนดอลลาร์ต่อปี ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 15 ล้านบาท (อันนี้คือจัวเลขเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วนะครับ ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงเกือบ 50 ล้านบาทเห็นจะได้) ลองคิดดูนะครับว่าถ้าทำงาน 1 ปีแล้วได้เงินประมาณ 50 ล้านบาท ท่านคิดว่างานนี้น่าทำมั้ยละครับ
       ในปีพ.ศ. 2469 เกรแฮมได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทการลงทุนร่วมกับนายหน้าค้าหุ้นคนหนึ่งชื่อว่า เจโรมี นิวแมน   ในปี 2472 เกิดเหตุการณ์มหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก  ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีการเก็งกำไรอย่างสูงในตลาดหุ้นนิวยอร์ก  และจบด้วยความล้มเหลวของคนเล่นหุ้น ลามมาถึงบริษัทหลักทรัพย์ และสถาบันการเงิน จากนั้นก็ค่อยๆลุกลามออกไปทั่วทวีปอเมริกาเหนือ ไปทวีปยุโรป และก็กระจายออกไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย  เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกือบจะทำให้เกรแฮมต้องล้มละลาย  แต่ยังโชคดีที่ยังสามารถรอดพ้นมาได้  แต่ว่าเงินที่จะไว้เลี้ยงด฿คตรอบครัวก็มีไม่เพียงพอ ทำให้ภรรยาของเขาต้องไปเป็นครูสอนเต้นรำเพื่อมาช่วยเหลือครอบครัวอีกททางหนึ่ง
       บทเรียนจากมหาวิกฤตดังกล่าวทำให้เบนจามิน เกรแฮมเกิดความคิดว่า จะต้องหาวิธีการลงทุนที่สามารถเผชิญและเอาชนะวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆได้  เกรแฮมจึงได้ชวนเพื่อนอาจารย์ที่มีชื่อว่า เดวิด ดอดด์ มาช่วยกันหาแนวทางดังกล่าว และในที่สุดเขาก็ค้นพบและนำแนวทางดังกล่าวมาตีพิมพ์เป็นหนังสือมีชื่อว่า  Security Analysis  ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ ทั้งเกรแฮมและ ดอดด์ ได้ให้แนวความคิดของ มูลค่าที่แท้จริง ของราคาหุ้น  ผมจะขอเล่าถึงบทสรุปของหังสือเล่มนี้เลยครับ ก็คือ จะเน้นไปที่การลงทุนอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ มีดังนี้ครับ

       การซื้อหุ้นใดๆก็ตาม ต้องซื้อในราคาที่ต่ำกว่า มูลค่าที่แท้จริง ของมันเท่านั้น
       บริษัทที่ทั้งคู่ได้ก่อตั้งขึ้นมานั้นได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ผลตอบแทนตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ. 2469-2499 เป็นเวลาประมาณ 30 ปี เฉลี่ยสูงถึงปีะล 20% ระหว่างนั้นในปี 2492 เบนจามิน เกรแฮม ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า The Intelligence Investor  หนังสือเล่มนี้ให้ความรู้เกี่ยวกับ การลงทุนที่เน้นคุณค่า และได้ให้แนวทางการลงทุนแบบใหม่ ที่เน้นในเรื่องการลงทุนในหุ้นคุณค่า หลักการลงทุนในหนังสือเล่มนี้เป็นที่ยอมรับและแพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง จนหนังสือเล่มนี้ได้รับสมยานามว่า "คัมภีร์ไบเบิ้ลแห่งการลงทุนเน้นคุณค่า" และเกรแฮมเองก็ได้รับสมยานามว่า บิดาแห่งการวิเคราะห์หลักทรัพย์

       ข้อสรุปต่อมาคือ เทคนิคการแสวงหาหุ้นหลายเด้ง
       หากหุ้นใดที่ราคาต่ำลงมามากแล้ว และเป็นหุ้นที่เกรแฮมส่วนใหญ่สนใจและสามารถหามูลค่าหุ้นที่แท้จริงของหุ้นตัวนั้นได้  เขาก็จะพิจารณาต่ออีกว่าราคาที่เสนอขายของหุ้นตัวนั้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากเพียงพอที่จะทำให้เขาอยากซื้อมั้ย  ถ้าราคาหุ้นถูกจริงๆ เขาก็จะซื้อหุ้นตัวนั้น เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเขาซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูก เขาก็จะยิ่งม่ส่วนเผื่อในความปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนเผื่อที่จะช่วยให้เขารอดพ้นจากการขาดทุน ก็คือ ลงทุนถูกเพื่อเป็นการป้องกันการขาดทุนนั่นเองครับ

       ข้อสรุปต่อมาคือ การใช้เทคนิค Net - Net  ในการค้นหาหุ้นหลายเด้ง
       วิธีนี้จะเกี่ยวข้องกับตัวเลขทางบัญชีบ้างนั่นก็คือ การค้นหาบริษัทที่มีเงินสดบวกกับทรัพย์สินที่เทียบเท่าเงินสดของบริษัท(หมายถึงทรัพย์สินหมุนเวียนนะครับ) และหักออกด้วยหนี้สินของบริษัททั้งหมดทั้งระยะสั้นและระยะยาว  แล้ว ตัวเลขที่ออกมาเท่ากับมูลค่าของบริษัทที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดหุ้น
       สรุปก็คือเอาเงินสดและสิ่งที่เทียบเท่าเงินสดทั้งหมด ถ้านำมาคิดรวมกันแล้วสามารถนำไปจ่ายชำระหนี้ได้ทั้งหมด  ที่เหลือก็เท่ากับว่าจะได้เป็นทรัพย์สินระยะยาวขึ้นมา  ได้แก่ ที่ดิน อาคาร โรงงาน เป็นต้น  ถ้าราคาหุ้น คูณกับหุ้นทั้งหมดออกมาแล้ว เท่ากับ ราคาของสินทรัพย์ระยะยาวทั้งหมดนั่นเเองครับ
อย่างไรก็ตามเบนจามินเกรแฮมจะซื้อที่ตนเองชอบในราคาประมาณ 2 ใน 3 ของมูลค่าเต็มแบบ Net-Net เท่านั้น ซึ่งจะทำให้มีส่วนเผื่อในความปลอดภัย มากเพียงพอที่จะป้องกันการขาดทุนของหุ้นนั้นไว้ได้ครับบ

       หลักเกณฑ์ในการหาหุ้นหลายเด้งของเบนจามิน เกรแฮม
      เนื่องจากว่าเขาเป็นคนที่มีวินัยในการลงทุนที่สูง  ดังนั้นเขาจึงตั้งเกณฑ์การหาหุ้นไว้อย่างละเอียด  ผมจะขอนำหลักเกณฑ์ของเกรแฮมให้เหมาะสมกับตลากหุ้นในเมืองไทยนะครับ
  - การจัดพอร์ดโฟลิโอของเกรแฮม จะจัดพอร์ตหุ้นและตราสารหนี้ไว้ที่อัตราส่วนประมาณ 50:50 แต่ในยามที่ตลาดผันผวนอัตราส่วนนี้อาจจะเปลี่ยนไปเป็นถึง 75:25  หรือ 25:75 ก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะซื้อหรือขายหุ้นนั่นเองครับ
  - จำนวนหุ้นที่เกรแฮมจะถือ ณ เวลาใดๆก็ตาม จะอยู่ประมาณ 10-30 ตัว ซึ่งเป็นจำนวนที่เกรแฮมคิดว่า จะสามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี และสามารถที่จะติดตามราคาหุ้นและผลประกอบการได้อย่างทั่วถึง
  - ต้องไม่เป็นบริษัทเทคโนโลยี เพราะเกรแฮมไม่เข้าใจว่าธุรกิจเหล่านี้จะสามารถสร้างผลกำไรในรยะยาวได้อย่างไร เขาจึงไม่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้  ผมเชื่อว่าเขาต้องลงทุนในหุ้นบริษัทที่เป็นจำพวกของกิน เพราะของกินเป็นสิ่งที่กินแล้วหมดไปในทันที บริษัทต้องคอยผลิตออกมาได้เรื่อยๆ ซึ่งต่างจากเทคโนโลยี ที่ซื้อเพียงแค่ครั้งเดียวใช้ได้เป็นสิบปี
  - ต้องไม่เป็นสถาบันการเงิน เขามองว่าบริษัทเหล่านี้เวลาที่เกิดวิกฤต มีโอกาสที่จะล้มละลายแบบไม่มีวันกู่กลับไปเลย
  - มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นไม่ต่ำกว่า 30% เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี
  - ไม่มีผลขาดทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  - ราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น ต้องน้อยกว่า 15 เท่า
  - ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี ต้อวน้อยกว่า 2.2 เท่า
  - ค่าหนี้สินต่อทุนต้องมีค่าน้อยกว่า 1 เท่า
  - ข้อสุดที่จะผ่านเกณฑ์ของเบนจามิน เกรแฮมนั่นก็คือ หุ้นตัวนั้นๆ ต้องเป็นหุ้นของบริษัทที่จ่ายเงินปันผล

       บทสรุปของบทความนี้ขอสรุปเป็นคำพูดของเบนจามิน เกรแฮมเลยครับ "ถ้าคุณคิดจะซื้อหุ้น คุณควรจะเลือกซื้อหุ้นที่วิธีเดียวกับที่คุณซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่ใช่วิธีเดียวกับที่คุณซื้อน้ำหอม" (ซื้อหุ้นที่มีประโยชน์ที่ดูแล้วมีประโยชน์จริงๆเท่านั้น) , "ใครก็ตามที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้แล้ว เขาคนนั้นก็ยากจะที่จะทำกำไรจากการลงทุนได้"(อย่าใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลนะครับ) , "การลงทุนเพื่อผลกำไร ไม่ควรอยู่บนพิ้นฐานของการมองโลกในแง่ดี แต่ควรอยู่บนพื้นฐานของคณิตศาสตร์"(ต้องคิดไตร่ตรองให้ดีแล้วค่อยลงทุนนะครับ อย่าผลีผลาม) , "ในโลกของหุ้น ความกล้าหาญจะกลายเป็นพลังอันสูงสุดได้ก็ต่อเมื่อ มีพร้อมทั้งความรู้และการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเท่านั้น"  ทั้งหมดนี้เป็นคำพูดของเกรแฮม ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น "บิดาแห่งการวิเคราะห์หลักทรัพย์" ครับ




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณข้อมูลจาก ประวัติเบนจามิน เกรแฮม
ภาพจากSinthomcafe

หุ้นปันผลและหุ้นเติบโต

       มีบทความนึงได้พูดถึงว่า "ทำไมการลงทุนในหุ้นเติบโตจะดีกว่าการลงทุนในหุ้นปันผลสำหรับนักลงทุนรุ่นเยาว์"  เขียนโดย Financial Samurai โดยมีเนื้อหาที่พอจะสรุปใจความได้ดังนี้

       นักลงทุนย่อยส่วนใหญ่มีความคิดว่า การลงทุนในหุ้นปันผลจะเป็นเเหล่งที่มาสำคัญของรายได้ประเภทที่ไม่ต้องทำงานซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนที่สูงอายุมักจะเเสวงหาหุ้นประเภทนี้เพื่อเป็นเเหล่งรายได้ให้ตนเองในยามที่พวกเขาต้องเกษียณอายุการทำงานไปเเล้ว อย่างไรก็ตามเงินปัญผลที่ได้จากหุ้นปันผลนั้นอาจไม่ได้ห้อมหวานเเละน่าลงทุนอย่าที่หลายๆคนคิดกัน มีเหตุผลอยู่ 3 ข้อคือ
       1. หุ้นปันผลให้ผลตอบเเทนที่ต่ำเกินไป 
           หุ้นปันผลมักจะให้เงินในอัตราที่ต่ำมากปกติน่าจะอยู่ในช่วง 2-3 % ดังนั้นนักลงทุนที่อยากได้เงินปัญผลจำนวนมากก็ต้องใช้เงินในการที่จะซื้อลงทุนในหุ้นปันผลเป็นจำนวนมากตามไปด้วยเพื่อให้ได้ผลตอบเเทนจำนวนมากพอที่จะสามารถนำไปเป็นส่วนหนึ่งของเงินที่ต้องใช้จ่ายประจำวันได้ เช่น อาจจะต้องลงทุนประมาณ 10ล้านบาท เพื่อให้ได้เงินปันผลประมาณ 3เเสนบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวอาจเป็นรายได้ทั้งปีนั่นหมายถึง จะมีรายได้ให้ใช้จ่ายต่อเดิอนประมาณ 25000 บาทเท่านั้น
      2. อย่าหวังว่าจะได้ เงินปันผล จากหุ้นปันผลเสมอไป
         การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง กิจการของบริษัทที่มีหุ้นเป็นหุ้นปันผลก็เช่นเดียวกันบางปีอาจให้ผลตอบเเทนที่ไม่ดี เเละบางครั้งบริษัทนั้นก็อาจจะประเชิญกับวิกฤตเล้วก็ล้มละลายไปเลยก็เป็นได้ บริษัทอีสต์เเมนโกดักเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้บรรดาผู้ถือหุ้นที่หวังพึ่งเงินปันผลของบริษัทนี้ต้องทรมานไปกับความหายนะที่เกิดกับธุรกิจของบริษัท
       ซึ่งเหตุการณ์ของบริษัทนี้ก็คือรายได้ของบริษัท โกดัก สูงที่สุดในปี 2539 ด้วยยอดขายเกือบ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เเละกำไรสูงสูดในปี 2542 ที่ 2,500 ล้านดอลลาร์ เเต่หลังจากนั้น....ก็เกิดความล้มเหลวครั้งเเล้วครั้งเล่า จนทำให้คาดการณ์กันว่ายอดรายได้ของโกดักในปี 2554 จะเหลืออยู่เพียง 6,200 ล้านดอลลาร์ ไนไตรมาส 3 ปีเดียวกันนี้พบว่า โกดักขาดทนสูงถึง 222 ล้านดอลลาร์เเละขาดทุนตืดต่อกันมาเป็นไตรมาสที่ 9 เเล้ว ปัจจุบันโกดักได้ยื่นเอกสารขอล้มละลายตัวเอง
      3. เงินที่เข้าไปลงทุนในหุ้นปันผล มักจะไม่สามารถถอนออกมาได้ 
         ปกติิเงินที่จะใช้เข้าไปลงทุนในหุ้นปันผลนั้นมักจะเป็นเงินที่ไม่คิดว่าจะต้องถอนออกมาใช้ ในบางเวลาเมื่ออัตราการปันผลไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เมือ่เป็นเช่นนี้เเล้ว บางปีที่เงินปันผลลดน้อยลงกว่าทุกปีที่ผ่านมา ก็จะทำให้มีเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันน้อยลง ทำให้คุณภาพชีวิตพลอยเเย่ไปด้วย

        ดังนั้นเเล้วการลงทุนในหุ้นปันผลเพื่อรอรับเงินปันผลไปเรื่อยๆ นั่นก็ไม่ควรนำเงินไปลงทุนทั้งหมดเพราะอาจจะเสียโอกาสที่จะพบกับหุ้นหลายเด้ง ก็เป็นได้

       ทำไม่บริษัทถึงจ่ายเงินปันผลดี
        เหตุผลหลักของบริษัทที่มักจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงก็คือ เหล่าบรรดาผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นไม่สามารถหาโอกาสในการลงทุนของเงินให้ได้ผลตอบเเทนในอัตราที่สูงได้ดังนั้น พวกเขาจึงคิดว่าสมควรที่จะนำเงินกำไรที่จะหาได้มาจ่ายออกมาเป็นเงินปันผลให้เเก่ผู้ถือหุ้นดีกว่า เช่น ถ้าบริษัทจ่ายปันผลออกมาประมาณ 3% ก็เเสดงว่าบริษัทไม่สามารถหาผลตอบเเทนได้ดีกว่า 3%
        ขอยกตัวอย่างอีกหนึ่งบริษัทในสหรัฐอเมริกามีชื่อว่า เทสลา มอเตอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทนี้ไม่ได้จ่ายเงินปันผลออกมาเลยถึงเเม้ว่าบริษัทจะมีผลกำไรออกมาอย่างยอดเยี่ยมก็ตาม นับตั้งเเต่วันที่บริษัทเข้ามาจดทะเบียนเเละซื้อขายตลาดหุ้นเมื่อกลางปี 2553 ผ่านไปเพียง 3 ปีราคาหุ้นของบริษัทนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า จากราคาจองซื้อก่อนเข้าซื้อขายในตลาดหุ้น
        บริษัท เอทีแอนด์ที บริษัทที่เป็นเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา บริษัทนี้เป็นเจ้าของหุ้นปันผลชั้นดีบริษัทหนึ่งของอเมริกา เอทีแอนด์ทีมักจะจ่ายเงินปันผลอยู่ในอัตราประมาณ 5% แต่ว่าราคาหุ้นของเอทีแอนด์ทีกลับไม่ได้แสดงผลออกมาดีเท่าที่ควร  ถ้าจะดูราคาหุ้นของเอทีแอนด์ทีแล้วพบว่าหากเปรี่ยบเทียบราคาหุ้นในช่วงเดียวกับ บริษัท เทสลา มอเตอร์สคือปี 2553-2556 พบว่าราคาหุ้นของเอทีแอนด์ทีได้ทะยานขึ้นมาเพียง 3% ขณะที่บริษัท เทสลา ราคาเพิ่มขึ้น 400%

       สรุปก็คิือถ้าหากเราลงทุนซื้อหุ้นของบริษัท เทสลาในปี 2553 ด้วยเงิน 1 ล้านบาท เมื่อถึงปี 2556 หุ้นที่เราถือจะมีมูลค่าถึง 5 ล้านบาทแต่ถ้าเลือกซื้อหุ้นของบริษัทเอทีแอนด์ทีในปี 2556 เป็นเงิน 1 ล้านบาทเช่นกันในปีเดียวกัน หุ้นเอทีแอนด์ทีที่เราถืออยู่จะมีมูลค่าเพียง 1.03 ล้านบาท(หนึ่งล้านสามหมื่นบาท) เห็นแบบนี้ท่านผู้อ่านที่อยากจะลงทุนกับบริษัทแบบไหนครับ







หุ้นไทยกลับมามั่นคงเสมอ

       สำหรับบทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปดูเรื่องความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย และโอกาสในการทำกำไรในหุ้นบางกลุ่ม ที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าวิกฤษตเศรษฐกิจไทยจะทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวช้าบ้างเร็วบ้าง แต่ก็ฟื้นกลับมาได้ มีเหตุการณ์ใดบ้างที่เมื่อประสบภาวะเศรษฐกิจแล้วก็ทำให้หุ้นไทยกลับมามั่นคงเสมอบ้าง รายละเอียดที่ผมจะนำมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ

       ปีพ.ศ.2522 เกิดการปั่นหุ้น ราชาเงินทุน   ในปีนี้ได้เกิดการปั่นหุ้นและสร้างราคาจนทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วน เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุน ส่วนดัชนีหลักทรัพย์ตกต่ำจากระดั 259.82 จุด เมื่อต้นปี 2522 เหลือเพียง 149.40 จุด ใยช่วงปลายปี 2523 ดัชนียังคงตกต่ำต่อเนื่องจนไปปิดที่ 106.62 จุดเมื่อปลายปี 2524 คิดเป็นการปรับตัวลดลง 60% ปริมาณการซื้อขายหุ้นทั้งปีหดหายไปอย่างรวดเร็วจาก 22,533 ล้านบาทในปี 2522   เหลือเพียง 2,898 ล้านบาท ในปี2524

       ปีพ.ศ.2540 วิกฤตการต้มยำกุ้ง  วิกฤตการณ์ครั้งนี้เริ่มจากปัญหาหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน จนทำให้นักลงทุนต่างชาติโจมตีค่าเงินบาทอย่างรุนแรง ธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้กำกับดูแลค่าเงินบาท  ได้ใช้เงินสำรองระหว่างประเทศปกป้องค่าเงินบาทไปเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในค่าเงินบาท จนนำมาสู่การตัดสินใจที่ปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวแบบ Managed Float จนในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 และตามมาด้วยประกาศปิดประกาศสถาบันการเงิน 56 แหงอย่างถาวร ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกต่ำมากที่สุด เป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่ง
       ดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนมกราคมปี 2539 จากระดับ 1,410.33 จุดดำดิ่งมาตลอดจนมาถึงระดับต่ำสุดที่ 457.97 จุดในเดือนมิถุนายนปี 2540 ลดลงถึง 953 จุดคิดเป็น 67% ภายในระยะเวลา 17 เดือน นับได้ว่าเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดในตลาดหุ้นไทย  หลังจากนั้นดัชนีหุ้นไทยก็ยังดำดิ่งลงอย่างต่อเนื่องไปถึงระดับที่ 207 จุดในเดือนกันยายนปี 2541 เป็นช่วงขาลงที่ยาวนานที่สุดถึง 33 เดือน คิดเป็นการปรับตัวลดลงถึง 85%  หลังจากเหตุการณ์นี้หมดไป หุ้นไทยก็กลับมามั่นคงเสมอจนกระทั่ง

      ปีพ.ศ.2544 เกิดเหตุการณ์วินาศกรรม วันที่ 9 เดือนกันยายนในสหรัฐอมเริการ(วันที่ตึกเวิร์ลเทรดถล่มนั่นแหละครับ)  เหต่การณ์นี้ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิร์ลเทรด ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เหตุการณ์นี้ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลกและส่งผลให้ดัชนีทั่วโลกดำดิ่งลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยด้วย  โดยพบว่าก่อนเกิดเหตุการณ์นี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดอยู่ที่ระดับ 330 จุด พอหลังจากเกิดเหตุการณ์ปุ๊บ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาปิดที่ระดับ 266 จุด คิดเป็นการปรับตัวลดลง 19% หลังจากนั้นมาตลาดหุ้นไทยก็เริ่มกลับมามั่นคงอีกครั้งจนมาถึงเหตุการณ์ 

      มาตรการสัดกั้นค่าเงินบาทแข็งค่าของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท) ในปีพ.ศ. 2549    เป็นเหตุการณ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการสกัดกั้นค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งเป็นมาจากความกังวลที่  ธปท. ประกาศใช้มาตรการสำรอง 30%  สำหรับการนำเข้าเงินทุนระยะสั้น การประกาศมีขึ้นในวันที่ 18 ธันวาคม 2549  หลังจากที่ตลาดหุ้นปิดไปแล้ว
       จากนั้นเช้าวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ทันที่ตลาดหุ้นเปิด บรรดาหุ้นทั้งหลายก็ดำดิ่งลงทันที ดัชนติดลบกว่า 100 จุด ก่อนจะหยุดพักการซื้อขาย 30 นาที  ตลาดปิดภาคเช้าติดลบไป 83 จุด ส่วนในภาคบ่ายตลาดได้ลดลงไปมากสุดถึง 142.63 จุด และปิดตลาดที่ระดับ 622.14 จุด ซึ่งลดลงถึง 108.41 จุด เป็นดัชนีที่ปิดตัวต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี เฉพาะแค่ในวันนั้นเพียงวันเดียวตลาดหุ้นไทยลดลงไปถึง 5 แสนล้านบาท
        จากเหตุการณ์ทั้ง 3 วิกฤตโลกที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยก็กลับมามั่นคงเสมอ


        ในปีพ.ศ. 2551 เกิดเหตุกาณ์ วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์  เหตุการณ์เกิดจากการปล่อยกู้ที่ไม่มีคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา  ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตลาดทุนและตลาดเงินเป็นวงกว้าง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้ลุกลามจากสหรัฐอเมริกา ไปสู่ยุโรป  เข้าสู่เอเชีย และกระจายไปทั่วโลก
       โดยตั้งแต่ต้นปี 2551 ต่างชาติเริ่มเทขายหุ้นของบริษัทต่างๆในภูมิภาคเอเชียออกมา  เพื่อนำเงินกลับไปพยุงบริษัทแม่ที่กำลังเกิดปัญหา  ความแรงของการเทขายยังมีอย่างต่อเนื่อง เพราะความวิตกกังวลจากนักลงทุน การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยนี้ ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องประกาศใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์  เพื่อพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราวในช่วงเดือนตุลาคมในปีนั้นถึง 2 ครั้ง หลังดัชนีหุ้นไทยล่วงลงอย่างรุนแรงในวันเดียวถึง  10% 
       วันที่ 15 กันยายน 2551 สถาบันการเงิน  เลแมน บราดอร์ส ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ขอยื่นล้มละลาย ส่งผลทาจิตวิทยาอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้ง และตลาดหุ้นไทยก็ได้ผลกระทบด้วยเช่นกัน  โดยดัชนีอยู่ในระดับต่ำสุดที่ 380.05 จุดในวันที่ 26 พฤศจิกายน  ทั้งที่ในต้นปีเดียวกันนั้นเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2551 ดัชนีตลาดหุ้นยังปิดอยู่ที่ 842.97 จุด

       อย่างไรก็ตามวิกฤตการเหตุการณ์ต่างๆที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว รวมทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองที่กำลังเป็นไปอยู่ในขณะนี้  ก็อาจเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าไม่จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ตาม  ตลาดหุ้นไทยก็กลับมามั่นคงเสมอ และราคาหุ้นก็กลับมาอยู่ในระดับราคาที่เป็นตัวของมันเอง เมื่อเหตุการณ์เข้าสู่สภาวะปกติแล้ว



ถือหุ้นนาน 5 ปีได้อะไรตอบแทน ดูที่นี่ได้เลยครับ


********************************************************************



ขอบคุณข้อมูลจากตลาดหุ้นไทย

หุ้นไทย

       สำหรับหน้านี้จะเป็นบทเริ่มต้นของหุ้นไทยนะครับ  เป็นการลงทุนอีกแบบหนึ่งที่มีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนประเภทอื่น  ในขณะเดียวกันการลงทุนประเภทนี้ก็มีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน  ซึ่งหลายต่อหลายคนคงจะเคยเจอกับวิกฤตการณ์ทั้งในประเทศและในระดับโลกมานับไม่ถ้วน  ภายใต้วิกฤตดังกล่าวคงไม่ค่อยจะมีใครอยากจะลงทุนในตลาดหุุ้นซักเท่าไหร่  ในบทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงโอกาส ในตลาดหุ้นไทยในยามวิกฤตการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้

       การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะฟื้นกลับมาในระดับเดิมส่วนใหญ่จะใช้เวลาไม่ถึงปี ก่อนอื่นนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ทางการเมืองที่เข้าขั้นวิกฤตหลายต่อหลายครั้งกัะนก่อนนะครับ เริมจากเหตุการณื พฤษภาทมิฬ ในปีพ.ศ.2535 เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคมของปีนั้น  ก่อนที่จะเกิดเหตุการณืพบว่า  ดัชนีเมื่อวันที่ 7 เมษายน ในปีเดียวกัน 832.39 จุด พอถึงวันที่ 19 พฤษภาคม ที่อยู่ในช่วงพฤษภาทมิฬ ดัชนีก็ตกลงมาเหลือเพียง 667.84 จุด  คิดแล้วลดลงเกือบ 20% พอมาถึงวันที่ 18 กันยายนในปีเดียวกัน  ดัชนี้ก็กลับขึ้นมาในบริเวณเดิมที่ 835.45 จุด เพียงระยะแค่ 5 เดือน ดัชนีก็กลับมาอยู่ในจุดเดิมได้  นอกจากนั้นช่วงสิ้นปีดัชนีก็ยังทยานขึ้นไปอีก โดยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ในปีเดียวกัน ขึ้นไปอยู่ที่ 963.03 จุด
       เหตุการณ์ต่อมาคือ เหตุการณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง เหตุการณืที่โรงแรมรอยัลคลิฟ และเหต่การณืที่กระทรวงมหาดไทย ทั้ง 3 เหต่การณ์นี้เป็นเหตุการที่ต่อเนื่องกัน และกินระยะเวลาที่ยาวนานที่สุด โดยก่อนวิกฤต เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2551 ดัชนีอยู่ที่ 709.35 จุด พอเหตุการณ์ปิดสนามบินเกิดขึ้น ดัชนีมาอยู่ที่ 386.12 จุด ลดลงเกือย 46% พอหลังจากเหตุการณ์ที่สนามบิน ดัชนีก็ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย โดยวันที่ 5 มกราคม 2552 ดัชนีไปปิดอยู่ที่ 478.69 จุด แต่สถานการณ์ทางการเมืองก็ยังไม่ดีขึ้นจนถึง 11 เมษายน 2552 ก็มีเหตุการณ์ที่โรงแรมรอยัลคลิฟ และตามมาด้วยเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทยในวันรุ่งขึ้น  เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มคลี่คลายลงในวันจันทร์ที่ 13 เมษายนของปีนั้น เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ตลาดหุ้นไทยจึงปิดทำการตลอด  และเริ่มมาเปิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน โดยตลาดมาปิดที่ 452.97 จุด หลังจากนั้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆจึงทำให้ดัชนีทยานขึ้นมาโดยตลอด มาถึง 11 กันยายน 2552 ดัชนีก็มาปิดอยู่ที่ 707.81 จุด ซึ่งเป็นระดับที่พอๆกับช่วงก่อนเกิดวิกฤต โดยกินระยะเวลายาวนานถึง 13 เดือน และดัชนตลาดหุ้นก็ผันผวนขึ้นลงสูงถึง 46% 
        คราวนี้เมื่อเกิดเหตุการณืที่ราชประสงค์ ในช่วงวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2553 เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงมากและมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นไทยบ้านเราตกลงไปมากนัก ซึ่งอาจมีผลหลักมาจากตลาดหุ้นต่างประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์วิกฤต แฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551  โดยตลาดหุ้นไทยก่อนเกิดความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 ดัชนีตลาดปิดที่ 812.63 จุด หลังจากนั้นดัชนีก็เริ่มลดน้อยถอยลงและมาถึงจุดต่ำสุดในช่วงนี้ที่ 721.29 จุดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมของปีนั้น หลังเหตถการณ์ความรุนแรงผ่านไปแล้วเพียงสัปดาห์เดียวหรือลดลงประมาณ 11%  พอมาถึงวันที่ 6 กรกฎาคม ดัชนีก็กลับมาอยู่ในช่วงที่ก่อนเหตุการณ์วิกฤตโดยปิดที่ 815.52 จุด กินเวลาเพียงแค่ 3 เดือนดัชนีตลาดหุ้นไทยก็กลับมาอยู่ที่เดิม 

       หลังจากนั้นดัชนีหุ้นไทยก็ทยานขึ้นอย่างต่อเนื่องและมาปิดที่จุดสูงสุดของปี2553 ที่ 1049.79 จุด เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 เพิ่มขึ้นมาประมาณ 46% จากระดับดัชนีในช่วงวิกฤตของปลายปีนั้น อาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ที่ราชประสงค์นั้นมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยในระดับที่น้อยมาก

       พอจะเห็นกันแล้วใช่มั้ยครับวิกฤตการเมืองในเมืองไทยที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วมักจะกินเวลาไม่ถึงปี ดูแล้วก็ไม่เป็นที่น่ากังวลมากนักสำหรับหุ้นไทย  ขอให้วิกฤตการเมืองในครั้งนี้จบลงโดยเร็ว เพื่อให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาแข็งแกร่ง


ถ้าอยากรู้ว่าถือหุ้นนานถึง 5 ปีแล้ว จะได้อะไรตอบแทนเชิญเข้ามาดูที่นี่ได้เลยครับ ถือหุ้นนาน 5 ปีได้อะไรตอบแทน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------



ขอบคุณข้อมูลจากตลาดหุ้นไทย

ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

       การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ดูเหมือนว่าจะเป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้ความรู้มากนัก  แต่หากจะพิจารณาในรายละเอียดแล้ว  การลงทุนประเภทนี้นอกจากจะให้ผลตอบแทนที่ดีแล้ว  แต่บ่อยครั้งก็อาจจะพบว่ามีความเสี่ยงที่สูงและมีอุปสรรคในการสร้างผลกำไรที่มีมากพอควรอีกด้วย ผมมีรายละเอียดที่จะอธิบายให้ทุกท่านได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

       การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สำหรับรายย่อย จะมีทั้งสิ้น 5-6 ประเภท โดยการลงทุนประเภทที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีอยู่ 5 ประเภทคือ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวเฮาส์ อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม ทั้ง 5 ประเภทนี้เวลาที่เราไปจดทะเบียนที่กรมที่ดินในปัจจุบัน  สิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของเราก็จะต้องถูกจดทะเบียนเข้าข่าย 5 ประเภทนี้เท่านั้น ส่วนการลงทุนที่เหลืออีก 1 ประเภทคือ ที่ดินนั่นเองครับ  นอกจากนี้ยังมีการลงทุนที่เป็นแบบขนาดใหญ่จำพวก อพาตเม้นต์ โรงแรม โรงงาน เป็นต้น สิ่งก่อสร้างเหล่านี้จัดอยู่ในการลงทุนขนาดใหญ่ซึ่งผมจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นนะครับ

       ต่อมาก็คือการลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อขายต่อ ปัจจุบันนี้ แม้ว่าบ้านใหม่โดยเฉพาะคอนโดในเมือง จะมีราคาที่ถีบตัวสูงขึ้นไปเป็ฯอย่างมาก แต่ผมก็ไม่คิดว่าบ้านเก่าหรือคอนโดเก่าจะขายได้ในราคาเทียบเท่ากับราคาขายของคอนโดใหม่ๆ  นอกจากนั้นการที่อสังหาริมทรัพย์อยู่ในมือของเรานานเกินไปก็ทำให้มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็ฯดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ค่าบำรุงรักษา และยังไม่ได้รวมค่าโอนอีกประมาณ 2%  และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะอีก 3.3% สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ผมคิดว่าการซื้อบ้าน เพื่อขายต่อเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

       คราวนี้ลองมาดูการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่ากันบ้างครับ ในปัจจุบันผมเองคิดว่าการลงทุนในลักษณะนี้น่าจะมีมากพอสมควร และหลายคนก็คงคิดว่า  ลงแค่เงินดาว์ก็พอ  หลังจากโอนไปแล้วฏ้ปล่อยเช่า และก็นำค่าเช่ามาผ่อนคอนโดแทน พอครบ 15 ปีหรือ 20 ปี คอนโดก็เป็นของเราแล้ว   แนวความคิดนี้แหละครับที่ทำให้หลายต่อหลายคนตัดสินใจลงทุนซื้อคอนโดมาเพื่อปล่อยเช่า  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆนั่นก็คือ คุณคงจะต้องเผชิญกับการแข่งขันในการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมและอพาตเม้นต์ครั้งยิ่งใหญ่  หลายรายตัดราคาค่าเช่ากันอย่างรุนแรงจนทำให้เงินค่าเช่าที่ได้ไม่เพียงพอต่อการนำไปผ่อนธนาคาร นอกจากนั้นคนที่ต้องการเช่าคอนโดในเมือง  ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นมนุษย์เงินเดือน  ดังนั้น โอกาสที่รายได้ของคนเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วคงเป็นไปได้ยาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่มักจะพบว่า  การขึ้นอัตารค่าเช่าให้เป็นไปตามภาวะของเศรษฐกิจ บางครั้งก็ทำได้ยากมาก
       อย่างไรก็ตามหากจะยังชอบที่จะลงทุนซื้อคอนโดเพื่อให้เช่าอยู่ ควรต้องหาทำเลที่สุดยอดจริงๆ ให้นึกถึงโอกาสที่จะเกิดคู่แข่งใหม่ที่จะเกิดในอนาคต  และอีกตลาดหนึ่งที่เหมาะกับการลงทุนนี้ก็คือคอนโดเพื่อให้ชาวต่างชาติเช่า  แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องคำนึงถึงลักษณะห้อง การดูแลห้อง เฟอร์นิเจอร์ในห้อง รวมถึงคุณภาพในการบริหารงาน ของนิติบุคคลอาคารชุด สิ่งเหล่านี้จะต้องศึกษาอย่างละเอียด เพราะว่าผู้เช่าที่มีความรู้ มีระดับ มีรสนิยม ยินดีจ่ายค่าเช่าในราคาสูงถ้าคอนโดที่จะให้เช่ามีคุณภาพดีจริง
       5ขั้นตอนสู่อิสรภาพทางการเงินในวดีโอนี้ เป็นตัวอย่างจากผู้ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แล้วประสลความสำเร็จ ซึ่งท่านได้นำความรู้ ขั้นตอนสู่อิสระภาพทางเงินจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มาถ่ายให้ทุกท่านได้ดูครับ



       การลงทุนในที่ดิน  การลงทุนประเภทนี้ผู้ลงทุนจะต้องมีความอดทนสูงมาก  เพราะสภาพคล่องของการซื้อขายที่ดินต่ำมาก ก็คือขายยากนั่นเอง  นอกจากนั้นค่าใช้จ่ายในการขายนั้นอย่างต่ำก็จะต้องพบกับค่าโอนประมาณ 2%   และยังต้องมีค่าภาษีธุรกิจเฉพาะอีก 3.3% ในกรณีที่ถือครองไม่ถึง 5 ปี อย่างไรก็ตาม หากสามารถเก็บที่ดินไว้ได้นานเป็นสิบๆปี   ราคาขายหลังหักค่าใช้จ่ายทุกๆอย่างแล้ว  ก็น่าจะมีกำไรสวยงามพอสมควร ข้อดีอีกข้อหนึ่งของการถือครองที่ดินนั่นก็คือ เมื่อเทียบกับอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น  ที่ดินจะไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ไม่มีค่าบำรุงรักษาเหมือนอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น

       การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีทั้งหมด 6 ประเภทคือ  บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวเฮาส์ อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และที่ดิน แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่ถ้าหากท่านสามารถนำข้อเสียของประเภทนั้นมาทำให้กลายเป็นข้อที่ดีเพื่อเป็นจุดเด่นได้ ในการทำธุรกิจนั้นของท่านก็อาจจะไร้คู่แข่งหรือถ้ามีก็มีน้อย ขอให้วางแผนให้ดี ศึกษาให้ละเอียด ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้ง กลุ่มลูกค้า ควรจะทำให้มันสอดคล้องกับความต้องการของผู้คนที่จะเข้ามา  ถึงตอนนี้ใครที่คิดจะลงทุนอะไรควรศึกษาให้ดีก่อนนะครับ



เรียนรู้การสร้างรายได้เพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้ครับ การลงทุน การสร้างรายได้ การใช้ชีวิต

กลับหน้าแรก
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ข้อมูลจากอสังหาริมทรัพย์
ภาพจากคอนโดเชียงใหม่

ซื้อสลากออมสิน

       การลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำนี้ผมจะขอแนะนำไว้เพียงสามวิธีนะครับ ให้ท่านได้อ่าน ศึกษาแล้วลองเลือกทำตามดู  ซึ่งการลงทุนเหล่านี้เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนไทยมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน  และยังเป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนไทยอีกเป็นจำนวนมากคือ การฝากเงินกับธาคาร  ซื้อสลากออมสิน  สลากธกส.  โดยมีสาเหตุหลักๆดังนี้ครับ
     

       การฝากเงินกับธนคารมีความมั่นคงก็จริงแต่ผลตอบแทนต่ำ  แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการลงทุนที่ทำให้คนไทยมีความรู้สึกปลอดภัยที่สุด ในอดีตอัตราดอกเบี้ยฝากประจำหนึ่งปีของธนาคารพาณิชย์บางช่วงสูงมากถึงระดับ 10% ก็ว่าได้  สมมติว่าเราได้ฝากเงินไว้จำนวน 1 ล้านบาท แล้วไม่ถอนเงินออกมาเลย และดอกเบี้ยจะทบต้นทุกปี ก็จะกินเวลานานประมาณ 7 ปี ที่จะทำให้เงิน 1 ล้านบาทกลายเป็น 2 ล้านบาท จึงทำให้มีคนจำนวนมากนิยมที่จะฝากเงินกับธนาคารกัน
       ในปัจจุบันธนคารพาณิชย์มีการแข่งขันกันสูงมากขึ้นเพราะเศรษฐกิจได้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกจนเกือบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงทำให้ดอกเบี้ยในประเทศไทยลดลงมาอย่างต่อเนื่อง  ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน น่าจะอยู่ประมาณ 3% เท่านั้น สมมติว่าเราฝากประจำไว้ 1 ล้านบาท กว่าจะกลายเป็น 2 ล้านบาทก็จะกินเวลา 24 ปี เทียบไม่ได้เลยกับความคุ้มค่าของดอกเบี้ยในอดีต   ทุกวันนี้จึงพบว่ามีคนจำนวนมากหลีกหนีผลประโยชน์ที่ต่ำมากจากการฝากเงินประจำกับธนาคารหันไปหาการลงทุนประเภทอื่นแทน นอกจากนั้นการฝากเงินประจำกับสถาบันการเงินยังต้องเสียภาษีดอกเบี้ยในอัตรา 15% อีกด้วย

       ถ้าหากว่ากลัวธนาคารจะล้มละลาย ควรจะฝากเงินกับธนาคารไหนดี  ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ.2555 มีการกำหนดวงเงินคุ้มครองเงินฝากโดยมีรายละเอียดดังนี้ครับ
1.ถ้าระยะเวลาที่สถาบันการเงินปิดกิจการในวันที่ 11 สิงหาคม 2555 - 10 สิงหาคม 2558 จำนวนเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท
2.ถ้าระยะเวลาที่สถาบันการเงินปิดกิจการในวันที่ 11 สิงหาคม 2558 - 10 สิงหาคม 2559 จำนวนเงินไม่เกิน 25 ล้านบาท
3.ถ้าระยะเวลาที่สถาบันการเงินปิดกิจการในวันที่ 11 สิงหาคม 2559  เป็นต้นไป  จำนวนเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท
       นั่นหมายถึงหากเกิดเหตุการณืที่ธนาคารแห่งใดแห่งหนึ่งต้องปิดกิจการลง ผู้ฝากเงินจะได้รับเงินกลับคืนไปไม่เกินจำนวนเงินข้างต้นนั่นเองครับ

       ส่วนสถาบันการเงินของรัฐที่กฏหมายนี้ไม่ครอบคลุมถึง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เพื่อการเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย  เป็ฯต้น นั่นหมายถึงว่า ธนาคารเหล่านี้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงจนถึงขั้นที่ต้องปิดตัวลง รัฐบาลก็จะต้องรับผิดชอบเงินฝากทุกบาททุกสสตางค์ของผู้ฝากเงินในธนาคารรัฐเหล่านี้

       ทีนี้เรามาพูดถึงการลงทุนกับสลากออมสินดูบ้างนะครับ   สลากออมสินเป็นรูปแบบหนึ่งของการออมเงิน  โดยผู้ฝากจะได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนด  พร้อมมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลทุกเดือน  เมื่อครบกำหนดก็ได้เงินต้นคืนครบ พร้อมดอกเบี้ย  ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสลากออมสิน  โดยมีจุดขายที่น่าสนใจของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้อยู่ 3 ข้อคือ ปลอดภัย เงินต้นไม่สูญ ได้รับดอกเบี้ย และลุ้นรางวัลได้ทุกเดือนตลอดอายุสลากตามที่เราซื้อ  รายละเอียดของการซื้อจะเป็นแบบนี้ครับ
      หากเราซื้อสลากออมสินพิเศษที่มีอายุ 3 ปี หน่วยละ 50 บาท มีสิทธิ์ถูกรางวัลทุกเดือนเป็นเวลาถึง 36 เดือน  รางวัลที่ 1 มูลค่ารางวัละ 10 ล้านบาทมี 3 รางวัล  รางวัลพิเศษมูลค่า 1 บาท และรางวัลอื่นๆอีกมากมาย ฝากครบอายุ 3 ปีตามที่เราซื้อไว้ เราก็ได้เงินต้นคืน พร้อมรับดอกเบี้ยตามปกติหน่วยละ 52.75 บาท  เงินรางวัลและดอกเบี้ยของบุคคลธรรมดาไม่เสียภาษีด้วยครับ
      การลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ นี้มีเทคนิคการลงทุนให้คุ้มคือ  ต้องซื้อสลากจำนวนมากพอเพื่อให้ถูกทุกงวด  ถ้าเราลงทุนด้วยเงินทุกๆ 500,00 บาท  ก็จะซื้อสลากออมสินแบบหน่วยละ 50 บาท ได้ถึง 1 หมื่นหน่วย  ดังนั้นก็จะมีสิทธิ์กูกรางวัลเลขท้าย 4 ตัวแทบจะทุกเดือนได้อย่างแน่นอน  เลข้ทาย 4 ตัวออกเดือนละ 2 ครั้ง รางวัลละ 150 บาท รวม 36 เดือน จะเป็นเงินเท่ากับ เอา 150 x 2 = 300 x 36 = 10,800 บาท และเมื่อครบ 3 ปีถอนเงินคืนได้หน่วยละ 52.75 บาท ถ้าเอา 52.75 บาท x 10,000 = 527,500 บาท รวมได้เงินคืนทั้งสิ้น ให้เอา 10,800 + 527,500 = 538,300 บาท  หากคิดเป็นผลตอบแทนโดยไม่คำนึงถึงการคิดแบบดอกเบี้ยทบต้นและโอกาสถูกรางวัลแล้ว จะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 38,300 บาท ในะรยะเวลา 3 ปี หรือเทียบเท่ากับดอกเบี้ย 2.55% ต่อปี โดยไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเหมือนกับเงินฝากประจำ เป็นอีกหนึ่งช่องทางเลือกที่น่าสนใจครับ

       คราวนี้เรามาดูการลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำกับสลากทวีสินของธกส.บ้างครับ ว่าของเขาเป็นยังงัย
      จากข้อมูลในปัจจุบันปีพ.ศ.2557 ถ้าเราซื้อสลากทวีสินของธกส. ถ้าลงทุนซื้อด้วยเงิน 500,000 บาท จะซื้อได้ 1,000 หน่วย(หน่วยละ 500 บาท) จะถูกรางวัลเลขท้าย สามตัว แทบทุกเดือน เดือนละ 400 บาท รวม 36 เดือนจะเป็นเงิน 14,400 บาท และเมื่อครบ 3 ปีถอนเงินคืนได้หน่วยละ 522.50 บาท เป็นเงิน 522,500 บาท รวมได้เงินคืน 536,900 บาทหากคิดผลตอบแทนแบบง่ายๆโดยไม่คิดดอกเบี้ยที่ทบต้นและรางวัลอื่นๆที่อาจะถูกได้อีก จะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 36,900 / 500,000 x 100 = 7.38%(ต่อระยะเวลา 3 ปีนะครับ) เท่ากับ 2.46% ต่อปี โดยไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเหมือนฝากประจำ
 
      ทั้งหมดนี้คือการลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ และสามารถเข้าใจได้ง่าย การลงทุนทั้ง3 ประเภทนี้จะเหมาะกับนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงที่ต่ำมาก ได้รับผลทอบแทนในอัตราที่ต่ำ  แต่มีความมั่นคงและมั่นใจได้ว่าเงินต้นที่เราเอาไปซื้อสลากนั้นจะยังคงอยู่  ไม่ได้ลดน้อยหายไปเลย แถมยังได้ดอกเบี้ยตามมาด้วย  ผมว่าดีกว่าที่เราจะไปซื้อสลากลอตเตอรี่นะครับ
อย่างไรก็ตาม การลงทุนทั้งสามข้อนี้ยังไม่เหมาะกับคนที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย หรือคนที่ใฝ่ฝันว่าอยากจะได้อิสระภาพทางการเงิน เพราะเวลาที่จะทำให้เงินงอกเงยขึ้นนานเกินไป..




เรียนรู้การสร้างรายได้เพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้ครับ การลงทุน การสร้างรายได้ การใช้ชีวิต

-----------------------------------------------------------------------------------------------------