สารบัญเว็บไซต์

สารบัญเว็บไซต์ !

ใช้ชีวิตอย่างไรถึงจะรวย

       เราจะใช้ชีวิตอย่างไรถึงจะรวยเหมือนพวกเศรษฐีนั้น ทุกท่านรู้มั้ยว่าจากการวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกานั้นพบว่า เศรษฐีหรือมหาเศรษฐีส่วนใหญ่นั้น ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยหรูหราอย่างที่เราเห็นกันในทีวี ซึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมให้ฐานะของพวกเขามีความมั่งคั่ง เกิดจากพฤติกรรมที่สำคัญอยู่ 7 ประการ

       การใช้ชีวิตอย่างไรถึงจะรวยและนำพาตัวเองไปสู่เศรษฐีหรือมหาเศรษฐีได้นั้น ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาเหล่านั้นมีพฤติกรรมกันแบบนี้ครับ
 1.มีความมัธยัสถ์ รู้จักเก็บหอมรอมริบ ใช้จ่ายน้อยกว่าเงินที่หาได้
 2. มีการจัดสรรเวลา และเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ในการสะสมความมั่งคั่ง
 3. พวกเขามีความเชื่อว่า อิสระภาพทางการเงินสำคัญกว่าการแสดงออกให้เห็นจากฐานะของตัวเอง
 4. ส่วนใหญ่ไม่ได้โชคดีมาแต่เกิดคือ ไม่ได้เกิดเป็นลูกคนรวย พ่อแม่ของพวกเขาไม่ได้อุ้มมชูด้วยเงินทอง ซึ่งข้อนี้มีข้อมูลที่ค่อนข้างชัดเจนว่า โดยเฉลี่ยแล้วความมั่งคั่งร่ำรวยที่ส่งต่อจากพ่อแม่มาถึงรุ่นลูก โดยที่พ่อแม่ไม่สอนให้รู้จักหาเงินหรือใช้เงินอย่างถูกต้อง ทรัพย์สินหรือความร่ำรวยเหล่านั้น มักจะส่งต่อได้ไม่เกิน 3 รุ่นครับ
 5. ลูกหลานที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วของคนรวยนั้น สามารถพึ่งพาตนเองได้ เพราะเขาได้เรียนรู้แนวคิดและยุทธวิธีในการหาเงินและการออมเงินไว้ใช้อย่างชาลฉลาด
 6. มีประสบการณ์และทักษะในการแสวงหาโอกาส
 7. มักเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ประกอบวิชาชีพที่สุจริต มีอาชีพมากกว่า 1 อาชีพ หรือมีกิจการมากกว่า 1 อย่าง
       ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่เมื่อเข้าสู่วัยทำงานจะมีแง่มุมความคิดในระดับที่เรียกว่า ขอแค่เพียงให้อยู่รอดได้ก็เพียงพอแล้ว   หมายถึง การมีรายได้จากการทำงาน บวกกับรายได้จากเงินออมและทรัพย์สินที่ค่ามากกว่าหรือเท่ากับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน แต่ภ้าหากวันใดวันหนึ่งเกิกเหตุต้องล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมา หรือว่าการงานที่เคยทำอยู่เกิกสะดุดขึ้นมา ก็จะเกิดปัญหาชีวิตขึ้นได้.. ดังนั้น! เราจึงควรวางเป้าหมายให้สูงขึ้นไปอีกหน่อยนั่นก็คือ อยู่ได้อย่างมั่งคั่งและมั่นคงเพื่อให้มีอิสระภาพทางการเงินให้ได้  นั่นคือ เราต้องมีรายได้จากงานมากกว่า 1 อย่างครับ 

       แต่นี่ก็ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของคำถามที่ว่า ใช้ชีวิตอย่างไรถึงจะรวย นะครับ และการที่เราหารายมาแล้วก็ต้องรู้จักการจัดการรายได้ในการใช้จ่ายอย่างถูกวิธีด้วยนะครับ จึงจะทำให้เกิดความมั่งคั่งขึ้นมาได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ต่อให้มีอาชีพเสริมเป็นร้อยอาชีพ แต่ไม่สามารถใช้เงินได้อย่างถูกวิธี ก็ย่อมไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิตแน่นอนครับ




------------------------------------------------------------------------------------------






ข้อคิดดีดี

       สวัสดีครับ สำหรับบทความนี้ผมมีเรื่องราวที่จะสอนให้ทุกคนแค่ลองเปลี่ยนความคิดให้มันดีขึ้นมาอีกซักหน่อย  แค่เพียงเราคิดดีได้ ชีวิตเราก็จะมีค่าและมีความหมายมากขึ้น ข้อคิดดีดี ชีวิตคิดบวก ขอยกตัวอย่างเรื่องราวซักหนึ่งเรื่อง ให้ทุกคนได้อ่านกันครับ ถ้าใครเคยอ่านแล้วอย่าว่ากันนะครับ

       ข้อคิดดีดีในเรื่องนี้ขอยกตัวอย่างเรื่องราวของครอบครัวนึงครับ ที่มีพ่อ แม่ ลูก 
       " แม่ของผมเป็นคนทำอาหารที่บ้านประจำ ทุกวัน หลังจากที่ต้องทำงานหนักมาตลอดทั้งวันแล้ว มีอยู่คืนหนึ่งแม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้าและทำอาหารเย็นให้เราตามปกติ ที่โต้ะอาหาร แม่วางจานปลาทูที่ทอดจนไหม้เกรียมตอ่หน้าพ่อ และลูกทุกๆคน  ผมรอว่าแต่บะคนจะทำอย่างไรที่เห็นปลาทูไหม้เกรียมแบบนั้น  แต่.. พ่อไม่พูดอะไรเลย ปละหันมาตั้งหน้าตั้งตากินข้าวกับปลาทูไหม้เกรียมตัวนั้น และหันมาถามผมว่า ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง.  
       คืนนั้นหลังอาหารเย็นผมจำได้ว่าผมเห็นแม่ขอโทษพ่อที่ทอดปลาทูจนไหม้  
       และผม ไม่เคยลืมคำที่พ่อพูดกับแม่เลยว่า " โอยย ผมชอบปลาทูทอดเกรียมเกรียมๆ มันอน่อยมากเลยนะแม่.."
       คืนต่อมาผมเก็บคำถามในใจ ก่อนอนผมถามพ่อว่า  " พ่อชอบปลาทูทอดเกรียมๆจริงๆหรอ"
       พ่อลูบหัวผมแลัวตอบว่า " แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน แค่ปลาทูๆหม้หนึ่งตัว ไม่ได้ทำร้ายใครหรอกลูก แต่คำพูดที่ต่อว่ากันตั่งหากที่จะทำร้ายกัน" พ่อพูดต่ออีกว่า ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ และแต่ละคนก็ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ แม้แต่ตัวพ่อเองก็ยังเคยลืมทำบุญวันเกิดของพ่อแม่ ของพ่อเองเลยตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
       แต่สิ่งที่พ่อเรียนรู้ในชีวิตก็คือ เรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่นและของตัวเอง
       การเลือกที่จะยินดีกับความคิดที่ต่างกันของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาชีวิตครอบครัวที่มีความสุขและยืนยาว
       "ชีวิตเราสั้นเกินกว่าที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจที่ว่า เราทำผิดกับคนที่เรารักและรักเรา ให้ดูแลและทนุถนอมคนที่รักเรา และพยายามเข้าใจและให้อภัยกันจะดีกว่า"

** ถ้าเรารู้ เราจะทำไหม?
** เราจะบีบแตรใส่คนที่ยืนยึกยักอยู่ริมถนนแยกที่ผ่านมั้ย ถ้าเรารู้ว่าเค้าใส่ขาเทียม ?
** ดราจะเดินเบียดชนคนข้างที่เดินช้าไหม ถ้าเรารู้ว่าเค้าตกงาน ?
** เราจะขำคนที่เค้าแต่งตัวเชยๆมั้ย  ถ้าเรารู้ว่าเค้ามีชุดเก่งแค่ชุดเดียว ?
** เราจะรำคาญสาวโรงงานที่มาเดินพาราก๊อนมั้ย ถ้าเรารู้ว่านั่นคือการฉลองวันเกิดของเธอ ?
** เราจะหมั่นไส้ลุงที่หัวเราะเสียงดังคนนั้นมั้ย ถ้าเรารู้ว่าเค้าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ?
** เรารู้แจ่มชัดเสมอว่าชีวิตเรากำลังเจอกับอะไร แต่เราไม่มีวันรู้เลยว่า คนที่เราเจออยู่นั้น เค้ากำลังเจอกับอะไร "

       ขอแค่เราใจเย็น มีเหตุมีผลซึ่งกันและกัน ค่อยพูดค่อยจากัน ใช้เหตุผลคุยกัน ยอมรับฟังคนอื่น รู้จักแยกแยะว่าอะไรดี อะไรไม่ดี เพียงแค่นี้ทุกคนก็จะมีข้อคิดดีดี อยู่ในตัวของทุกคน 


--------------------------------------------------------------------------------



ข้อมูลมาจากคนโพสในเฟสบุ้ค แต่จำชื่อไม่ได้ว่าใคร

เรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ

       คุณนิ หรือ พิชญา จำปา คือผู้ที่เป็นเจัาของแบนด์เครื่องสำอาง "ละมุน" เธอเริ่มต้นทำธุรกิจดเวยวัยเพียง 15 ปี ด้วยเงินลงทุน 0 บาทครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 4 ปี เธอมีรายได้เข้ากระเป๋าสูงถึง 50 ล้านบาท และในวันนี้เธอมีตำแหน่งเป็นถึง ประธารกรรมการผู้จัดการ บริษัท ละมุน จำกัด  เราลองมาเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จคนนี้กันดูแบบคร่าวซักหน่อยครับ ว่าเธอเริ่มต้นทำอย่างไร ถึงประสบความสำเร็จในเวลา 4 ปี
       เราลองมาเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จจากคุณนิ กันดูคร่าวๆดูนะครับ ว่าเธอทำอย่างไร ถึงประสบความสำเร็จ
       คุณนิ เกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง เมื่อตอนเธอ 15 ย่อมดป็นธรรมดาที่ในวัยรุ่นย่อมอยากได้นั่นอยากได้นี่ เธอไม่อยากขอเงินพ่อแม่เพียงอย่างเดียว เริ่มแรกเธอมองหางานจากสื่ออินเตอร์เน็ต นั่นก็คือ "เฟสบุ้ค" จากนั้นดธอคิดว่าช่องทางนี้แหละที่จะเริีมต้นขายของออนไลน์ได้ และเมื่อยังไม่มีเงินลงทุนเธอก็ใช้วิธีนี้คือ ให้ลูกค้าจ่ายเงินมาก่อน แล้วสั่งของทีหลัง นี่แหละครับที่เรียกว่าเริ่มต้นด้วยเงินเพียง 0 บาท
       สินค้าที่เธอขายนั้นมีคุณภาพดี ลูกค้าที่ใช้ดีแล้วก็บอกต่อๆกันไป สินค้าเธอขายดีขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้ผู้ผลิตต้นทางก็เลยต้องขอปรับราคาให้สูงขึ้น ในขณะเดียวกันคู่แข่งในตลาดก็ทวีคูณมากขึ้น จึงทำให้เธอคิดที่จะสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองขึ้นมา
       องค์ความรู้ที่มาจากประสบการณ์ลัวนๆ บวกกับการจ้างทีมวิจัยมาพัฒนาสินค้า โดยสินค้าของเธอต้องประกอบด้วยหลักการนี้คือต้องเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ปลอดภัย อ่อนโยน ส่วนผสมที่มีคุณภาพ หลังใช้เวลาพัฒนาสินค้าอยู่ประมาณ 1 ปี ก่อนก่อตั้งบริษัท ละมุน จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ทั้งหมด ไม่ได้กูแบงค์เลยครับ
       การเติบโตของยอดขาย เธอบอกว่า "ผลิตมาเท่าไหร่ก็ขายเกลี้ยง" ในขณะที่ตั้งเป้าเติบโตประมาณ 20% ต่อปี เธอทำงานนี้มาตั้งแต่อายุยังน้อย ผ่านประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดีมาเยอะ ตรงส่วนที่ไม่ดีก็คือ มักจะโดนคนเอาเปรียบ เพราะเห็นว่ายังเด็ก บ้างก็ไม่มั่นใจในสินค้า และอีกอย่างเธอก็ทำเองคนเดียว ไม่มีคนช่วยคอยติดต่อประสานงาน แต่อายุน้อยก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียเสมอไ ข่อดีคือ เราสามารถเริ่มต้นได้เสมอ เรามีโอกาสในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เยอะมากกว่าใคร คุณนิ กล่าวว่า หากคิดจะเริ่มต้นทำธุรกิจ ต้องใจกล้า กล้าคิด ที่สำคัญไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ คุณนิกล่าวอีกว่า " คู่แข่งไม่ได้มองว่าเราเด็กหรือแก่กว่า แต่เขาจะมองแค่ว่า ถ้าเด็กกว่าก็คืออ่อนแอกว่า เพราะฉะนั้นถ้าอยากประสบความสำเร็จ อย่างแรกเลยต้องอดทน และซื่อสัตย์ ถึงจะผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้"
       ปัจจุบันนี้คุณนิ อายุเพียง 20 ปี ศึกษาในคณะบริหารธุรกิจ ในมหาวิทยาลัยทรุงเทพ เธอได้มีโอกาสเป็นวิทยากรในการสร้างแรงบัลดาลใจให้กับเพื่อนที่มหาลัย เพื่อชี้ลู่ทางให้ประสบความสำเร็จได้ การเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ต้องบอกได้ว่า แม้ว่าอายุจะน้อยแต่ความคิดแหลมคมอย่างนักธุรกิจ ที่สำคัญเธอเลือกขยายธุรกิจจากทุนของตัวเองโดยไม่กู้แบงค์ และแบ่งทุนกันไว้สำหรับการเจริญโตในอนาคต นี่คือคมคิดของนักธุรกิจพันธุ์ใหม่ที่หัวใจใหญ่กว่าอายุจริงๆ

--------------------------------------------------------------------

ขอบคุณข่าวจากเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ Bangkokbiznews.com

ขอจดทะเบียนกับคณะกรรมการอาหารและยา

       การขอจดทะเบียนกับคณะกรรมการอาหารและยา เรียกสั้นๆว่า อย. การจะขอจดทะเบียนได้นั้น ผลิตภัณฑ์คุณภาพเหล่านั้นต้องมีคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัย มีการส่งพฤติกรรมบริโภคอย่างถูกต้องด้วยข้อมูลตามหลักวิชาการที่เชื่อถือได้และเหมาะสม เพื่อให้ผู้บริโภคได้ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอดภัยและได้ประโยชน์

      มาดูหลักเกณฑ์การขอจดทะเบียนกับคณะกรรมการอาหารและกันครับ ว่าผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของเราต้องเป็นอย่างไร
      สินค้าที่จะมาขอจดทะเบียนกับคณะกรรมการอาหารและยานั้น จะต้องเคยมีประวัติการสั่งซื้อแล้ว เท่านั้น ถ้าหากว่ามีการเปลี่ยนแปลงโรงงานผลิต ก็ต้องให้โรงงานที่รับผลิตรายต่อไป เป็นผู้ไปขอจดทะเบียนใหม่อีกครั้ง
  สำหรับสิ่งของและเอกสารที่ต้องเตรียมไปมีดังนี้ครับ
 1. ลักษณะของภาชนะที่ใส่บรรจุ เช่น กระปุก หรือขวดปั้มสุญญากาศ หรือหลอด และรูปถ่ายสินค้า สามารถยื่นขอต่อครั้งได้ไม่เกิน 10 รายการ
 2. เอกสารที่ใช้คือ
   2.1 สำเนาบัตรประชาชนผู้มีอำนาจ 2 ชุด
   2.2 สำเนาทะเบียนบ้านผู้มีอำนาจ 2 ชุด
   2.3 สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (เฉพาะกรณีที่เป็นนิติบุคคลนะครับ ใช้ 2 ชุด)
   2.3 สำเนา ภพ.20 (เฉพาะนิติบุคคล )
   2.4 สำเนาทะเบียนบ้านของสถานที่ผลิตสินค้า ( ใช้เฉพาะที่อยู่ไม่ตรงกับที่อยู่ของผู้มีอำนาจนะครับ)
   2.5 แผนที่ตั้งของร้าน หรือ บริษัท
   2.6 แผนผังภายในร้า หรือ บริษัท ระบุสถานที่ผลิต สถานที่บรรจุ และสถานที่เก็บสินค้าให้ชัดเจน
   2.7 สินค้าตัวอย่าง พร้อม ฉลาก 2 ชุด
       สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการขอทดเบียนกับคณะกรรมการอาหารและยา
 1. การยื่นขอครั้งแรก ผู้ประกอบการจะต้องไปยื่นที่ อย. เท่านั้นเพราะจะต้องเสียค่าธรรมเนียม ส่วนปีต่อๆไปทาง อย. จะส่งหนังสือมาแจ้งให้ไปชำระตามธนาคารที่กำหนด โดยจะเสียค่าธรรมเนียมรายปีละ 1,000 บาท
 2. หากได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการแล้ว คุณจะถูกสุ่มตรวจสถานที่จริง เพราะฉะนั้นแผนที่และแผนผังจะต้องถูกต้องและตรงตามที่ยื่นไว้
 3. ถ้าหากว่าคุณเป็นคนซื้อสินค้ามาเพื่อมาบรรจุเอง อันนี้คุณสามารถจดเป็นผู้แบ่งบรรจุที่ข้างฉลากของผู้ผลิตได้
 4. หลังจากที่ได้รับเลขที่ใบแจ้งเรียบร้อยแล้ว ต้องนำเลขที่ใบแจ้งระบุบนฉลาก พร้แมทั้งมีรายละเอียดฉลากครบถ้วนตามกฏเกณฑ์ของ อย.
 5. สำหรับคนที่นำสินค้ามาบรรจุเองก็ควรบรรจุให้เป็นไปตามหลัหอย่างถูกต้อง ทั้งเรื่องความสะอาด วิธีการแบ่งบรรจุ เพราะถ้ามีการร้องเรียนจากผู้ซื้อขึ้นมาละก็ สินค้าดังกล่าวจุถูกเพิงถอนนออกจากทะเบียนจดแจ้งและผู้ประกอบการได้
 6. หากต้องการตรวจสอบเลขใบรับแจ้งที่ได้รับกับเวบไซต์ของ อย. ในส้วนของชื่อผู้ประกอบการ จะเป็นชื่อของลูกค้าที่ขอรหัสผู้ประกอบการไว้
 7. ท่านสามารถตรวจสอบเลขที่ใบรับแจ้งของตนเองได้ที่เวบไซต์ของ อย. ในหมวดของ "สืบค้นข้อมูลผลิตภัณฑ์"

       สำหรับใครที่กำลังจะไปขอจดทะเบียนกับคณะกรรมการอาหารและยา ก็คงพอจะมีความรู้มากพอสมควรและนะครับ  หากอยากรู้รายละเอียดที่มากกว่ากว่านี้ ก็ไปที่เวบไซต์ของ อย. เลยก็ได้ครับ http://www.fda.moph.go.th/ 

------------------------------------------------------------------------------



ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา