สารบัญเว็บไซต์

สารบัญเว็บไซต์ !

4แนวความคิดของคนรวย

       คิดอย่างไรจึงจะรวยได้ ความคิดของคนที่รวยได้ต้องคิดอย่างไร 4แนวความคิดของคนรวย นี้ จะยกตัวอย่างความคิดของคนรวยที่ประสบความสำเร็จ เพื่อไว้เป็นตัวอย่างที่จะพาทุกท่านเปลี่ยนชีวิตไปให้ดีขึ้น ลองสังเกตดูนะครับว่าคนรวยมีกจะมีวิธีคิดที่เป็นลักษณะเฉพาะของตัวเอง ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เราได้คุยกันถึงเรื่องความคิดของคนรวย ที่ทำให้คนรวยแตกต่าง ในบทนี้ผมจะนำเสนออีก 4 แนวความคิดของคนรวย ที่อาจเปลี่ยนชีวิตของผู้อ่านให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม มาเริ่มกันเลยครับ

       คนทั่วไปคิดว่าต้องมใช้เงินของตัวเองในการหาเงิน แต่คนรวยคิดว่า ต้องใช้เงินของคนอืื่นเพื่อหาเงิน
       หนึ่งในความลับของวอเรนน์ บัฟเฟตต์ ก็คือความสามารถในการหาเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำมาลงทุนได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงชอบธุรกิจประเภทประกันภัย ในปี 2551 พบว่า 24% ของรายได้ของบริษัทเบิร์กไซร์ ฮาทาเวย์ ของบัฟเฟตต์ และอีก 50% ของกำไรทั้งหมด มาจากธุรกิจประกันภัยทรัพย์สินประกันชีวิต และประกันรถยนต์
       วอร์เรน บัฟเฟตต์ชอบรายได้ที่มาจาก "Float"  หมายถึงรายได้ที่มาจากเบี้ยประกันภัยที่บริษัทเบิร์กไซร์รับเข้ามาแล้วแต่ยังไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมจนกว่าจะเกิดอุบัติเหตุในอนาคต ซึ่งก็จะสามารถนำเบี้ยประกันภัยจำนวนนี้ไปลงทุนก่อนได้ นอกจากนั้นยังรวมถึงเบี้ยประกันภัยที่หักออกด้วยค่าใช้จ่ายทางด้านสินไหมแล้ว บัฟเฟตต์ก็ยังสามารถนำกำไรในส่วนนี้ไปลงทุนต่อได้ ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า บัฟเฟตต์จะมีเงินทุนที่ไม่มีต้นทุนให้นำไปลงทุนได้ "Float" ที่ว่านี้ก็คือ "เงินของคนอื่น" ที่บัฟเฟตต์นำมาใช้นั้นเอง

       คนทั่วไปคิดว่าตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยเหตุผล และกลยุทธ์ แต่คนรวยคิดว่า ตลาดถูกขับเคลื่อนด้วย อารมณ์และ ความโลภ
      หากคุณผู้อ่านลองสัเกตดูดีๆจะพบว่า คณะบริหารธุรกิจของมหาวัทยาลัยทุกแห่งในเมืองไทยและทั่วโลกมักจะพากันสอนใหห้บรรดานักศึกษาเข้าใจกันว่า ตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยเหตุผล  ทุกอย่างจะทีเหตุมีผลเป็นไปตามที่กำหนดไปเสียทุกประการ และหากจะเอาชนะตลาด หรือการทำสินค้าออกมาขายแล้วให้ได้ดีกว่าคนอื่นนั้น จะต้องศึกษาและคิดหากลยุทธ์ ที่จะเอาชนะคู่แข่งให้ได้เท่านั้น
       ในปีพ.ศ.2492 เบนจามิน เกรแฮม ผู้ที่เป็นอาจารย์ของวอเรนร์ บัฟเฟตต์ กูรูนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก เป็นคนแรกที่ได้เขียนถึงคำว่า "นายตลาด(Mr.Market)"  ในหนังสืออมตะเล่มที่โด่งดังที่ชื่อ The Intelligent Invertor เกรแฮม ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับตลาดที่แแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากแนวความคิดเก่าๆ ที่ว่าตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยกลยุทธืและเหตุผล แต่เขากลับให้ความคิดเห็นที่ว่า  ตลาดก็เหมือนคนคนนึงที่มีอารมณ์แปรปรวนที่ง่าย ไม่มีเหตุผล มักจะชอบตามน้ำ ตกใจง่ายและมักชอบซื้อแพง ขายถูก ตัวอย่างเช่น ตลาดบ้าน ในยามที่เษรษฐกิจดี ผู้คนก็จะแห่แหนไปซื้อบ้านอย่างเนืองแน่น ทำให้บ้านราคาค่อยๆสูงขึ้น...สูงขึ้น แต่ผู้คนก็กลับแย่งกันซื้อที่ราคาสูงๆ พอถึงยามที่เศรษฐกิจไม่ดี ราคาบ้านก็ถูกลงๆ แต่กลับหาผู้ซื้อแทบไม่ได้เลย ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะ อารมณ์ และความโลภ ของตลาดนั่นเอง

       คนทั่วไปมักจะใช้ชีวิตสูงกว่าฐานะของตน แต่คนรวยมักจะใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะของตน
       วอเรนร์ บัฟเฟตต์ หนึ่งมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของนิตสารฟอร์บ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินทั้งสิ้นสูงถึง 44,000 ดอลลาร์(ในสัมยนั้นถือว่าสูงมาก) หรือประมาณ 1.3 ล้านบาท ซึ่งที่มีทรัพย์สินสูงขนาดนี้ น่าเป็นผู้ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่หรูเลิศเหนือคนธรรมดาเทั่วไปอย่างแน่นอน แต่ในความเป็นจริง บัฟเฟตต์กลับใช้ชีวิตที่เหมือนคนที่อยู่ในชนชั้นกลางทั่วไปของสหรัฐอเมริกา กล่าวคือ บัฟเฟตต์อาศัยอยู่นบ้านที่เขาซื้อเมื่อปีพ.ศ.2501 ในราคาเพียง 31,500 ดอลลาร์ หรือไม่เกิน 1 ล้านบาท(ปัจจุบันบ้านหลังนี้มามูลค่าราวๆ 20 ล้านบาทไปแล้ว) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกาของสหรัฐอเมริกา ภายในบ้านมีพื้นที่ประมาณ 150 ตารางวา ซึ่งเป็นบ้านเพียงหลังเดียวที่เขาเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง  หลายต่อหลายครั้งจะมีผู้คนมาคอยคะยั้นคะยอ ให้บัฟเฟตต์ซื้อบ้านใหม่ แต่บัปเฟตต์บอกไปว่า "ผมจะบ้านไปทำไม ในเมื่อเขามีความสุขที่ได้อยู่บ้านหลังนี้" บัปเฟตต์ คิดไมไ่ออกว่าการที่มีบ้านใหญ่ๆหรือการมีบ้านหลายๆแห่งทั่วโลกจะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นได้อย่างไร อีกทั้งเขาไม่ชอบในการดูแลบ้านพร้อมกันหลายหลัง  แล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นมาดูแลบ้านแทนด้วย ดังนั้นบัปเฟตต์จึงไม่เคยคิดจะซื้อบ้านเพิ่มขึ้นอีกแม้แต่หลังเดียว
       สิ่งที่น่าแปลกใจเกี่ยวกับการชีวิตของบัปเฟตต์ยังมีอีกมากมายเช่น ในห้องทำงานของบัปเฟตต์ อภิมหาเสรษฐีระดับโลกที่น่าจะเต็มไปด้วยอุปกรณ์ไอเทคราคาแพงๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคิดเลข และอื่นๆเลย แต่กลับพบว่าแทบจะไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย มีเพียงเอกสารบริษัทที่เขาสนใจ หนังสือ หนังสือพิมพ์ และอุปกกรณ์ทั่วไป นั่นเป็นเพราะบัปเฟตต์เพียงแค่ต้องการนั่งในห้องทำงานและใช้เวลาอ่านหนังสือตลอดทั้งวันเท่านั้นเอง
       เห็นมั้ยครับว่าบุคลลระดับอภิมหาเสรษฐีของโลกอย่างบัปเฟตต์ชอบที่จะใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะของตน ขณะที่คนทั่วไปมักจะใช้ชีวิตสูงกว่าฐานะของตน

       ผมมีวิดีเรื่องหนึ่งที่จะให้ทุกท่านได้รับชมเกี่ยวกับการใช้เงิน ระหว่างคนจน คนชั้นกลาง และคนรวยครับ มาดูกันครับว่าคนในแต่ละระดับเค้าใช้เงินกันอย่างไร ทำไมคนรวยถึงได้รวยเอาๆ ส่วนคนจนถึงได้ยังจนเหมือนเดิม ส่วนคนชั้นกลางก็ยังคงย่ำอยู่กับที่



       คนทั่วไปมักจะสอนลูกหลานให้อยู่รอด แต่คนรวยมักจะสอนลูกหลานให้รวย
        คุณผู้อ่านรู้จักคนนี้ไหมครับ? คาร์ลอส สลิม เขาเป็นชาวเม็กซิกันและเขาเคยโด่งดังมากในชั่วข้ามคืน ย้ำว่าชั่วข้ามคืนเท่านั้น เมื่อเขาถูกจัดให้เป็นมหาเสรษฐีที่รวยที่สุดในโลก ตัดหน้า บิล เกตส์แห่งไมโครซอฟไปอย่างเฉียดฉิว หลังจากนั้นมา ความสนใจของสื่อมวลชนทั่วโลกก็หลั่งไหลเข้ามที่ตัวเขา ผมจึงอยากจะพาคุณผู้อ่านไปรู้จัก คาร์ลอส สลิมกันซักหน่อยครับ
       บรรพบุรุษของคาร์ลอส สลิมเป็นชาวเลบานอน ครอบครัวของเขาต้องหนีภัยสงครามจากประเทศบ้านเกิดเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศเม็กซิโก และที่นี่จึงที่ที่พวกเขาให้กำเนิดคาร์ลอส สลิม  ด้วยความลำบากความยากจนที่พ่อแม่จองคาร์ลอส สลิมประสบมามากกว่าครึ่งชีวิต จึงทำให้พ่อแม่ของเขาสอนวิธีที่จะอยู่รอด และต้องอยู่รอดเป็นคนที่มีฐานะดีด้วย สลิมและพี่น้องของเขารวม 6 คนจะถูกสอนเรื่องการค้าขายธุรกิจมาตั้งแต่อายุ 12 ขวบ เมื่อสลิมอายุได้ 17 ปี เขาได้ทำงานให้กับบริษัทของพ่อของเขา โดยมีรายได้สัปดาห์ละ 200 เปโซ  จากนั้นเขาเรียนต่อปริญญาตรีในสาขาวิศวะกรรมโยธา ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะมาช่วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวได้
       เมื่อเรียนจบแล้ว สลิมก็เริ่มต้นทำงานเป็นนายหน้าค้าหุ้น เพื่อที่จะได้เข้าใจธุรกิจได้มากขึ้นก่อนที่จะมาทำธุรกิจของตนเองในปีพ.ศ. 2519 สลิมได้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทที่มีชื่อว่า กรูโป กาลาส ซื้อกิจการ 7 ประเภทเข้ามาไว้ในเครือ และเริ่มวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ ในปีพ.ศ.2525 เกิดวิกฤตครั้งใหญ่ในเม็กซิโก ทำให้หลายๆบริษัทต้องอยู่ในฐานะย่ำแย่หรือไม่ก็ล้มละลายไปเลย ซึ่งบริษัทของสลิมก็โดนวิกฤตการในครั้งนั้นเล่นงานไปด้วย
       และแล้วช่วงเวลาพลิกผันที่ทำให้คาร์ลอส สลิมกลายเป็นมหาเสรษฐีระดับโลกก็มาถึง เมื่อเศรษฐกิจดำดิ่งถึงจุดต่ำสุด ธุรกิจดีๆ ราคาถูกก็มีขายอยู่เต็มตลาด ด้วยความที่สลิมเป็นคนรอบคึอบในการวางแผนการเงิน จึงทำให้กลุ่มบริษัทของเขาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีเงินเหลือจำนวนมากที่จะมาลงทุนซื้อธุรกิจราคาถูกเหล่านั้น ในที่สุด ในเวลาต่อมา สลิมก็ได้ทำให้บริษัทเหล่านั้นทำกำไรได้อย่างมหาศาล ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพ่อแม่ของสลิมสอนเขาถึงวิธีการดำเนินชีวิตที่จะต้องอยู่รอด อย่างมั่งคั่งให้ได้ นั่นเองครับ
       และนี่คือ 4แนวความคิดของคนรวย ที่ทำให้คนรวยแตกต่าง เราได้เรียนรู้วิธีคิดเพิ่มขึ้นอีกมากมาย สิ่งที่สำคัญก็คือ การเริ่มต้นเปลี่ยนวิธีคิด อ่านและศึกษาวิธีคิดของบรรดาผู้มีความสามารถ อาจมีบาง
ความคิดที่เหมาะกับคุณ ดังนั้นเราจึงควรรีบขวนขวายศึกษาหาวิธีคิดใหม่ๆ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตเก่าอย่างแน่นอน



เรียนรู้การสร้างรายได้เพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้ครับ การลงทุน การสร้างรายได้ การใช้ชีวิต

------------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น