สารบัญเว็บไซต์

สารบัญเว็บไซต์ !

เรื่องราวข้อคิดดีๆ

       วันนี้ผมมีเรื่องราวข้อคิดดีๆ ของชีวิตมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน คือหลังจากที่ผมได้อ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีความหมายที่ดีต่อการดำเนินชีวิตร่วมกัน จึงอยากนำมาเผยแพร่ให้ทุกคนได้อ่านกันเยอะๆ
       ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่า....
เพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร ถังน้ำใบหนึ่ง
มีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ
และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง
แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน
จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
.........
หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตก
มองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า
'ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตก
ที่ด้านข้างของตัวข้า ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมา
ตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน'
คนตักน้ำตอบว่า
'เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบาน
อยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า
แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง
เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่
ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้
ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า
และทุกวันที่เราเดินกลับ ...
เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น
.........
เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้
สวยๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว
ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ...
เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้
.........
คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่อง
ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่รอยตำหนิ
และข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ
และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้
.........
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคน
ในแบบที่เขาเป็น และมองหาสิ่งที่ดีที่สุด
ในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง
มองโลกหลายๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มี
แต่ข้อเสียเท่านั้น.

อ่านเรื่องราวข้อคิดดีๆนี้จบแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ

-------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา: ฟอร์เวิร์ดเมล
ห้องสมุดออนไลน์ / คริสเตียน


ถ้าซ้ำหรือเคยอ่านแล้วขออภัย

เริ่มทำอาชีพเสริมขั้นที่6

       การเริ่มทำอาชีพเสริมในขั้นตอนที่6 นี้จะพูดถึงเรื่องการฝึกสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น คนที่เคยทำงานประจำหรือที่ตอนนี้กำลังทำงานประจำอยู่ คงพบว่าในที่ทำงานเราจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบอยู่ด้วย นั่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ทว่าหากคุณคิดที่จะเริ่มทำอาชีพเสริมหรือว่าจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้ว ความคิดที่ว่าไม่อยากจะสร้างสัมพันธภาพกับใครๆนั้น ต้องเลิกคิดไปได้เลยครับ
       ความคิดที่จะไม่อยากสร้างสัมพันธภาพกับใครๆนั้น คุณคงทำไม่ได้อีกแล้วเพราะมันจะเป็นอุปสรรคสำคัญสกัดกั้นความสำเร็จอย่างยิ่ง คุณต้องเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นการใหญ่ทีเดียว แต่ถ้าคนที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบตัวอย่างง่ายๆอยู่แล้วก็ถือเป็นเรื่องที่ดีและก็ควรปฏิบัติให้มากขึ้นกว่าเดิม
      การเริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นที่ 6 นี้คุณต้องเป็นผู้ให้ที่ดีและมากขึ้นเท่าที่จะทำได้
       ธรรมชาติของคนส่วนใหญ่ชอบที่จะรับมากกว่าให้ ปรัชญาของนักธุรกิจที่ประสบคงามสำเร็จทั้งหลายจึงบอกว่า "ผู้ที่ให้ย่อมได้รับการตอบแทนเสมอ" เมื่อให้คนอื่น คนอื่นถุงจะยอมมาเสวนาด้วย และในขณะเดียวกันที่คุณกำลังเป็นฝ่ายให้ผู้อื่น ตนเองก็กำลังได้รับการช่วยเหลือทางอ้อมรวมถึงอนาคตก็เป็นได้  คนที่ปนะกอบธุรกิจหรือมีอาชีพที่ก้าวหน้าได้ดี คือคนที่ หมุนเงินเป็น คือการไหลเวียนจากจุดหนึ่วไปยังอีกจุดหนึ่ง แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เห็นแก่ได้ หรือพยายามเก็บเอาทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับตัว เท่ากับว่าคุณทำให้การไหลเวียนของเงินสะดุดลง และสุดท้ายมันจะตัน ทำให้โอกาสที่เงินจะไหลกลับมามียากยิ่งขึ้น
       วิธีเดียวที่จะทำให้เงิน ธุรกิจ เพื่อน หรืออะไรก็ตามที่คุณปรารถนาหมุนกลับมาหาคุณ คุณต้องทำตัวใหีเป็นคนใจกว้าง ใส่ใจกับเรื่องคนอืนให้พอเหมาะ แม้แต่คุณเองที่ไปซื้อของหรือว่าไปใช้บริการจากที่ใดก็ตาม ก็ควรจ่ายเงินให้ผู้บริการอย่างเหมาะสม รวมไปถึงสนับสนุนองค์กรการกุศลเพื่อช่วยเหลือสังคมบ้าง ลองสังเกตจากเรื่องเล็กก่อนก็ได้ครับ ถ้าหากเช้าวันไหนคุณได้ใส่บาตรพระตอนเช้า คุณจะรู้สึกอิ่มเอิบ สบายใจ แต่ถ้าวันไหนที่ไม่ได้ใส่ มันจะรู้สึกไม่เหมือนกับวันที่ใส่ นั่นแหละครับ คือผลของการให้และผลของการที่ไม่ได้ให้ ความรู้สึกและสิ่งที่ได้รับมันะต่างกัน บางคนอาจถึงขั้นไม่สบายใจเลยก็มีครับ
       การออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือการพยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตเพื่อจะร่ำรวยก็เช่นกัน ไม่ได้สำคัญว่าตอนนีืคุณจะมีเงินหรือทรัย์สินมากสักเท่าไหร่ก็ตาม ขอให้รู้จีกการเป็นฝ่ายให้ก่อน และเมื่อได้ให้อะไรใครไปแล้วก็อย่ามานั่งคิดเสียดายนะครับ เพราะคุณรู้อยู่แล้วว่าคุณทำอะไรลงไป สรุปก็คือ การเริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นที่ 6 นี้จะเน้นให้สร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นด้วยเริ่มเป็นผู้ให้ ธรรมชาติของให้คือ ยิ่งให้จะยิ่งได้รับ เชื่อเถอะครับว่าผลลัพธ์ของการให้มันน่าอัศจรรย์มากกว่าที่คุณคาดคิดไว้ก็เป็นได้




----------------------------------------------------------------------------------------
     

เริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นที่ 3

        การเริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นที่ 3 นี้ผมจะนำเสนอทีเดียวเลยอีก 3 ขั้นที่เหลือนะครับ เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาในการค้นหาข้อมูล ในขั้นตอนที่ 4 นี้จะพูดถึงเรื่องความเสมอต้นเสมอปลาย ทำอะไรแล้วต้องทำให้ต่อเนื่อง อย่าทำแบบทิ้งขว้าง รวมถึงน้ำใจไมตรีที่มีให้กันก็ควรจะรักษาไว้อย่างต่อเนื่อง 
       การเริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นตอนที่ 3 จะเน้นเรื่องความเสมอต้นเสมอปลายครับ ทำอะไรแล้วต้องทำจริง ทำอย่างต่อเนื่อง ถ้าตอนที่คุณยังทำงานประจำเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ เคยยิ้มแย้มแจีมใสและเป็นมิตรอย่างไร แม้สถานภาพคุณอาจจะเปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้แต่จิตใจของคุณไม่ควรเปลี่ยนไปตามสภาวะนอกง่ายๆ ไม่ใช่แจ่เพียงการพูดจาและยกย่องชื่นชมคนอื่นในยามที่ตนเองเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น เวลาปกติที่ไม่มีธุระอะไร หรือไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร ก็ต้องรักษาสภาพจิตใจและไมตรีให้คงอยู่ตลอด อย่าได้ทำกันแบบว่าเดินสวนกันก็ทำเป็นเฉยเมย หรือเวลาอารมณ์ไม่ดี เจอหน้าก็ไม่ยิ้มแย้ม ไม่ทักทาย แต่พออารมณ์ดีจะพูดหวานมาแต่ไกล การกระทำเช่นนี้คนรอบจะเห็นคุณเป็นคนไม่สม่ำเสมอ เป็นคนลักปิดลักเปิด และไม่แน่ใจว่าจะมาอารมณ์ไหน ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีที่คุณจะเอาชนะใจของใครได้ และการทำงานก็อาจจะประสบปัญหามากขึ้นในอนาคตเพราะไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย เพราะฉะนั้น ควรหัดเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายเอาไว้ตลอดเวลานะครับ เพื่ออนาคตที่ดีกับตัวคุณเอง
       การเริ่มทำอาชีพเสริมในขั้นตอนที่ 4 ผมอยากจะบอกว่า ควรหาความรู้ใส่ตัวอยู่สม่ำเสมอเช่นกันครับ
       เพราะในขณะที่คุณกำลังจะริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ คุณจะมีความรู้สึกสบายมากขึ้นที่มีความ้ป็นอิสระ แต่คุณก็ไมีอาจทำงานแบบ เช้าชามเย็นชาม ได้อีกต่อไป เพราะ ความรู้ เป็นสิ่วสำคัญมาก สำหรับการเริ่มต้นใหม่ จากที่ไม่เคยคิดจะหาความรู้ใหม่ ตอนนี้ก็น่าจะถึงเวลาที่จะลุกขึ้นมาใส่ใจกับสิ่งรอบตัวใหัมากขึ้น เพราะการเป็นคนที่รอบรู้ในเรื่องต่างๆ ที่อยู่รอบตัว รู้จริง รู้กว้างและลึกซึ้งจะทำให้คนที่อยู่รอบตัวรู้สึกชื่นชม และใครๆต่างก็อยากจะมาให้คุณเป็นที่ปรึกษาอยู่เสมอ และเมื่อถึงเาที่คุณต้องการความช่วยเหลือบ้าง คนรอบข้างก็พรัอมะให้ความช่วยเหบือเช่นกัน
       การเริ่มทำอาชีพเสริมขั้นที่ 5 ผมจะพูดถึงเรื่องการเป็นคนตรงต่อเวลา
      คุณสมบัติข้อนี้ยังเป็นข้อด้อยของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนไทที่ไม่ค่อยจะมีวินัยในเรื่องของเวลา และแต่ละองค์กรก็ให้ก็ให้ความสำคัญของเวลาที่แตกต่างกันออกไป หากคุณเคยอยู่ในอวค์กรที่ไม่ค่อยรักษาเวลา คุณก็จะกลายเป็นคนที่ไม่รักษาเวลาไปโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าได้รับการฝึกให้ตรงต่อเวลาอยู่เสมอจนเป็นนิสัยก็นับว่าคุณโชคดีที่ได้อยู่องค์กรรแบบนั้น การรักษาเวลาจึงถือเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเวลาที่เสียไปแล้วไม่สามารถนำกลับคืนมาได้ หากตอนนี้คุณยังไม่ตรงต่อเวลา ก็ควรเริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้เพราะมันจะมีผลต่อการที่ตุณจะทำอาชีพเสริม และพัฒนาต่อยอดไปเป็นเจ้าของกิจการ ลองนึกดูนะครับว่า หากคุณเป็นเจ้าของกิจการ แต่ไม่มีความตรงต่อเวลา ไม่รักษาเวลา คุณก็ไม่สามารถที่จะออกคำสั่งให้ลูกน้องมาทำงานให้ตรงต่อเวลาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ มีแต่จะโดนลูกน้องสวนกลับซะมากกว่า
       การฝึกความตรงต่อเวลาจะทำให้คนรอบข้างไม่ต้องมาเสียเวลาเพราะคุณ การนัดหมายทั้งในเรื่องสำคัญและเรื่องส่วนตัวก็ไม่เคยล่าช้า เหล่ายี้จะทำให้คุณได้รับการยอมรับนับถือ นั่นเป็นเพราะว่า การตรงต่อเวลาแสดงถึงว่าเราให้ความสำคัญกับผู้อื่นและเป็นการให้เกียรติคนอื่นอย่างมากมายอีกด้วยครับ
       การเริ่มต้นทำอาขีพเสริมขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4 และ 5 นี้ คือพื้นฐานของการเป็นเจ้าของกิจการ เจ้าของบริษัทด้วยเช่นกัน หากคุณมีพื้นฐานเหล่านี้อยู่ในตัวเอง ก็จะเป็นที่น่านับถือ น่าไว้วางใจจากผู้คนที่ได้พบเห็นและรู้จัก ซึ่งก็จะส่งผลให้คุณประสบความสำเร็จในอาชีพเสริมได้เช่นกัน




------------------------------------------------------------------------------------------

เริ่มทำอาชีพเสริมขั้นที่ 2

       การเริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นที่ 2 นี้จะเป็นเรื่องราวที่ต่อจาก การเริ่มทำอาชีพเสริมขั้นที่ 1 นะครับ ซึ่งในขั้นที่ 2 นี้ก็คือ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ "ปรับทัศนคติ" คำวีา ทัศนคติ เป็นเพียงความรู้สึกนึกคิด ที่ถูกปรุงแต่งอละเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสมองของเราว่าจะบังคับบงการ ไม่ว่าจะอยู่สภาวะเช่นไรนั่นเองครับ
       หากเรายังเป็นพนักงานหรืแลูกจ้างที่มีความเป็น "มืออาชีพ" เราก็จะลงมือลงแรงทำงานนั้นอย่างเต็มความสามารถด้วยแนวคิดของึวามเป็นเจ้าของกิจการ ที่อยากจะพัฒนาทักษะและความสามารถเดิมของตัวเองให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา
       หากเป็นองค์กรแล้ว องค์กรใดก็ตามที่ได้ลูกจ้างมืออาชีพแบบนี้ก็มีกจะมีแววรุ่งแน่นอนครับ และถ้าหากรู้วิธีสนับสนุนและสามารถดึงศักยภาพของพวกเขาออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ รับรองว่าองค์นั้นจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
       สำหรับคนที่เป็นเจ้าของกิจการแล้ว ก็จะมีแนวคิดแบบมุมกลับ เหมือนพนักงานที่รับเงินเดือนทั่วๆไปคือ เดือนไหนได้มากก็ทำมาก เดือนไหนได้น้อยก็น้อน เดือนไหนขาดทุนก็ไม่ทำ แบบนีจ้ถึงจะมีกิจการเป็นของตัวเองแต่ก็ไม่มีวันเจริญรุ่งเรือง มีแต่จะถดถอยลงไปเรื่อยๆแน่นอนครับ. หลายองค์กรจึงพยายามปลูกฝังแนวคิดให้พนักงานรักบริษัทให้เหมือนกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของ หากในการปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่องนี้ทำได้ไม่วำเร็จ เจ้าของกิจการบางคยก็ใช้วิธีการ แบ่งหุ้นให้ลูกจ้างเลยก็มีครับ
       ถึงอย่างไรก็ตามความเป็นเจ้าของกิจการ หรือเจัาของธุรกิจสามารถเริ่มต้นได้ตลอดเวลา เพราะการเกิดของธุรกิจและกิจการใหม่ๆไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาวะของเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ขุ้นอยู่กับการปรับทัศนคติของตัวเอง นั่นเองครับ การปรับทัศนคติที่ดี จึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าหากเราสามารถปรับทัศนคติได้ต่อทุกสภาวะ ก็เหมือนกับว่าเราสามารถปรับตัวเข้าหาผู้อื่นและสถานการณ์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
       การเริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นที่ 2 นี้จะเน้นไปในเรื่องของการปรับทัศนคติ เพราะการจะคิดเริ่มต้นเป็น "เถ้าแก่" มืออาชีพแล้ว ก็ต้องรีบลงมือทำทันที เพราะความจริงที่น่าประหลาดอยู่ข้อหนึ่งคือ ทัศนคติ มันมักจะไม่อยู่กับใครนานๆหรอกครับ มันจะเป็นช่วงๆแล้วก็จะหายไป ทัศนคติที่ดีเท่านั้นที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของคุณเแงในทุกอย่าง
        สุดท้ายนี้ผมมีคำแนะอีกอย่างหนึ่งครับเกี่ยวการเริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นที่ 2นี้ คือ คนที่คิดจะเริ่มต้นทำอะไรซักอย่างในสิ่งใหม่ๆ คุณต้องพยายามหลีกเลี่ยงอย่าอยู่ใกล้กับคนที่ชอบคิดลบ หรือมีทัศนคติลบเพราะมันจะทำให้คุณคิดในแง่ลบตามได้วย ซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวครับ







------------------------------------------------------------------------------------------------

เริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นที่ 1

       การเริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นที่1 นี้เป็นเพียงการเริ่มต้นของคนที่ต้องการมีอาชีพเสริมอย่างจริงจัง โดยผมจะบอกอธิบายเป็นขั้นตอนไปนะครับ สำหรับขั้นตอนแรกต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากคุณคิดจะเริ่มอาชีพหใม่หรือคิดจะเพิ่มอาชีพเสริมขึ้นมา คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียตั้งแต่แรกโดยเริ่มต้นที่ดังนี้ครับ
       การเริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นตอนที่ 1 ต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่ามีความเก่งและมีความสามารถทางด้านใด และคุณต้องมีความชอบที่จะทำมันได้ดีด้วย ดังนั้นการเข้าใจตัวเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะเป็นตัวชี้ว่าเราควรจะหางานเสริมหรือริเริ่มทำธุรกิจแนวไหน เหมือนเป็นการคำนวนสูตรของความสำเร็จเอาไว้ก่อน
       คนที่ชอบพูดชอบคุย ชอบต่อรองการซื้อขายสินค้า สูตรความสำเร็จของคนกลุ่มนี้คืองานด้านการขายหรือการเสนองานต่างๆ เพราะนิสัยเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่จะผลักดันธุรกิจนี้กับคนกลุีมนี้ให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเร็วขึ้น
       สำหรับคนประเภทที่ชอบลุยงานได้ทุกอย่าง ประเภทเหงื่อออกดีกว่าน้ำตาไหล คนประเภทนี้มีสูตรความสำเร็จของเนื้องานอยู่ในหัวอยู่ตลอด ลองสังเกตดูนะครับว่าคนกลุ่มนี้จะทำงานได้ทุกประเภท ขอให้ได้ลุยงานและทำให้ได้ดีที่สุดเพราะฉะนั้นงานของคนกลุ่มนี้จึงมีได้หลายแบบ
       บางคนเป็นนักบรหารมาตลอดชีวิต สูตรความสำเร็จของคนกลุ่มนี้คือการบริหาร ดังนั้นก่อนจะทำกิจการเป็นของตัวเอง ก็ต้องแน่ใจก่อนแล้วว่ามีทุนอยู่พอและมีคนสนับสนุนเรื่องทุน โดยเขาจะวางโครงสร้างไว้อย่างดีเพื่อจะได้โลดแล่นออกไปบริหารอย่างเต็มที่ คนกลุ่มนี้จะทำอะไรที่ตนเองสามารถควบคุมได้ สามารถจัดเป็นระบบได้ งานประเภทงานสอน งานอบรมก็จะเป็นแนวทางของคนกลุ่มนี้เช่นกันครับ
       นี่เป็นเพียงตัวอย่างของกลุ่มคนแต่ละประเภทที่ผมยกตัวอย่างมาให้ดูกันคร่าวๆ เมื่อค้นหาสูตรความสำเร็จของแต่คนเจอแล้ว ก็จะเข้าใจๆด้ว่าตนเองนั้นควรจะทำอะไร ทำอย่างไร แต่คนส่วนมากมักไม่เข้าใจว่าตนเองนั้นเก่งและโดดเด่นในเรื่องอะไร จึงทำให้ได้ทำงานที่ตัวเองไม่ค่อยชอบนัก จึงทำงานได้ไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น
       การเริ่มต้นทำอาชีพเสริมขั้นที่ 1 นี้คือคุณต้องค้นหาตัวเองให้เจอก่อนเป็นอันดับแรกว่าคุณถนัดอะไร ชอบทำอะไร และมีความสามารถในด้านใด เพื่อจะได้ทำงานนั้นอย่างเต็มที่และมีความสุข แต่จำไว้อย่างหนึ่งนะครับว่า ความล้มเหลวของคนที่พยายามจะประกอบอาชีพเสริมคือ การทำตามอย่างคนอื่นเขา โดยไม่คิดถึงความสามารถของตนเองเลยว่ามีความสามารถทางด้านนั้นหรือไม่ เมื่อทุ่มทำลงไปแล้วจึงเกิดแต่ความล้มเหลวได้ง่ายๆนั่นเองครับ




------------------------------------------------------------------------------------------
     

เก็บเงินสำรอง

       การเก็บเงินสำรองในอนาคต ข้อนี้นับว่ายากสุดสำหรับคนเราเลยทีเดียว เพราะคนส่วนใหญ่มักจะหามาใช้ไปอยู่เรื่อยๆ แต่การเก็บเงินสำรองในอนาคตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเก็บจนถึงขั้นมัธยัสถ์อะไรขนาดนั้นนะครับ
       การประหยัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและพยายามเก็บเงินสำรองไว้ในอนาคตนั้น ถ้าทำแบบนี้คุณจะมีเวลาเที่ยวน้อยลง รถยนต์ก็ไม่จำเป็นต้องขับรถหรูๆหรือราคาสูงเกินไป เสื้อผ้าก็เป็นแบบธรรมดาก็ได้ไม่ต้องหรูหรามากนัก อาจจะกลับมากินข้าวที่บ้านบ่อยขึ้นถ้าทำได้ งานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนฝูงก็ต้องลดน้อยลงด้วยเช้นกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัดให้น้อยลง เพื่อนำเงินส่วนนี้มาเก็บไว้ให้พอจ่ายสำหรับ 1-2 ปีข้างหน้า หากคุณทำได้คุณจะพบส่ามันมหัศจรรย์มากเพียงใดและมีประโยชน์แค่ไหน ขอยกตัวอย่างการเก็บเงินสำรองในอนาคตให้ดูอย่างหนึ่งนะครับ
       ชายคนหนึ่งทำงานประจำมา 4-5 ปี เขาคนนี้มีเงินสำรองเก็บไว้ก้อนหนึ่ง แต่ยังไม่คิดจะริเริ่มเป็นเจ้าของธุรกิจ เมื่อได้รับข้อเสนอให้ทำงานในตำแหน้งที่ดีขึ้นและมีอนาคตกับบริษัทแห่งหนึ่ง เขายอมเสี่ยงที่จะรับตำแหน่งนี้ได้โดยได้รับเงินเดือนไม่มากนัก แต่มีโอกาสจะรวยได้ เพราะเห็นโอกาสจากการมีสิทธ์ถือหุ้นในฐานะพนักงานและมีสิทธิ์ขายหุ้นได้
ถ้าธุรกิจดป็นไปได้ดีเขาก็ยังมีโอกาสที่จะรวย แต่ถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่คิด อย่างน้อยเขาก็มีประสบการณ์เพิ้มขึ้น
       แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่ได้รับโอกาสนี้ เคยมีอีกหลายคนที่ได้รับข้อเสนอ ซึ่งก็มีชายคนหนึ่งที่เก่งในหน้าที่การงานและมีความรู้ความสามารถมากเขาได้รับโอกาสนี้เช่นกัน แต่เขาไม่มีเงินเก็บแบบชายคนแรก เขาเหมือนคนทั่วๆไปที่ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน ต้องผ่อนบ้าน ต้องออกไปกินข้าวในร้านอาหารที่ดูดีไว้ก่อน มีครอบครัว ต้องจ่ายเงินให้ลูกๆไปเรียนโรงเรียนเอกชนทำให้ไม่มีเงินเหลือ เมื่อพิจารณาแลเวเขาเห็นว่าแม้ข้อเสนอของบริษัทจะน่าสนใจ แต่เงินเดือนที่ให้ไม่มากนักและมีความเสี่ยง เขาจึงจำเป็นต้องปฏิเสธ ทั้งๆที่ถ้าเขามีเงินเก็บสำรองไว้ซักหน่อยเขาก็รับงานนี้ได้ ซึ่งผลก็คือชายคนแรกโชคดีและร่ำรวยจากงานนี้ในเวลาไม่ถึง 10 ปี ในความกล้าที่ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน ส่วนชายคนที่สองก็ยังคงใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือนเหมือนเดิมไปอีกหลายปี
       จากเรื่องนี้พอจะบอกกับเราได้ว่า คนที่กล้าเสี่ยงทำงานนั้นเพราะเขามีปัจจัยสำคัญคือ มีการเก็บเงินสำรองไว้ส่วนหนึ่งแล้วนั่นเองครับ ถ้าคุณยังใช้ชีวิตอยู่แบบชักหน้าไม่ถึงหลัง และต้องอะไรอีกมากมายเกินความจำเป็นจนไม่มีเงินเหลือเก็บเลย มันก็อาจตัดโอกาสในการตัดสินใจทำอะไรดีๆ ของคุณไปได้เหมือนกัน
       การเก็บเงินสำรองในอนาคตนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญมาก และในระหว่างที่เก็บอยู่ก็อย่าปล่อยให้กิเลสความอยากทั้งหลายเข้าครอบงำคุณให้มากจนเกินไปนะครับ บางคนเห็นมีเงินเก็บได้นิดหน่อยก็อยากได้นั่นอยากได้นี่เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็เก็บได้ใหม่ จริงอยู่ครับว่าเดี๋ยวก็เก็บได้ใหม่ แต่มันจะบั่นทอนเวลาในการเก็บเงินทำให้เก็บเงินเป็นก้อนได้ช้าลงไปอีกเรื่อยๆ แต่หากคุณสามารถเก็บเงินสำรองไว้ในอนาคตแล้วคุณจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ มีความกระตือและพร้อมรับกับความเสี่ยงต่างๆได้มากขึ้นและมันจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจหรืองานใหม่ของคุณอย่างแน่นอนครับ




------------------------------------------------------------------------------------------------

วางแผนเพื่ออนาคตที่ดี

       หากชีวิตอยู่ไปวันวันโดยไม่มีการวางแผนว่าวันนี้เราจะต้องทำอะไรบ้าง เคลียงานเก่าหรืองานใหม่ก่อนดี ไม่มีการวางแผนเพื่อลำดับความสำคัญ ก็เท่ากับว่า ท่านได้ปล่อยให้โชคชตามาเป็นตัวควบคุมชีวิตของท่าน การวางแผนเพื่ออนาคตที่ดีนั้นจะต้องให้ชีวิตของเราเป็นตัวกำหนดโชคชตา
       การวางแผนเพื่ออนาคตที่ดีขอยกตัวอย่างให้ท่านได้ทำความเข้าใจซักเล็กน้อยก่อนนะครับว่า เคยบ้างไหมครับ เวลาที่ท่านขับรถออกไปข้างนอกแต่ไม่ได้วางแผนอะไรไว้ล่วงหน้า ไม่ได้เผื่อเวลารถติดหรืออุปสรรคอะไรเล็กๆน้อยๆ ผลลัพธ์ก็คือ ท่านอาจจะไปถึงจุดหมายปลายทางช้ากว่ากำหนด หรืออาจจะต้องเปลี่ยนแผนแบบกระทันหัน หรือไม่ก็ต้องขับรถวนเวียนอวู่ที่เดิมนานพอสมควร  คนส่วนใหญ่ไม่ได้มองการณ์ไกลหรือมองอะไรไว้ล่วงหน้า ขอเพียงแค่จัดการปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้หมดไปก็พอ
       การรู้จักวางแผนเพื่ออนาคตที่ดี ก็เหมือนกับการศึกษาแผนที่ของถนนที่คุณกำลังจะเดินทาง มันจะบอกท่านว่าตอนนี้ท่านกำลังอยู่ตรงไหน มะนช่วยกำหนดกลยุทธ์ว่าจะเดินทางจากจุด 1 ไปยังจุดที่ 2 ได้อย่างไร. ถ้าเป้าหมายของท่านคือ การทำยอดขายทางธุรกิจให้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หากท่านมีแผนการมันจะเป็นการเตือนตัวท่านเองอยู่เสมอว่า การทำงานของท่านอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว ต้องใช้อัไรบ้าง หรือต้องใช้อะไรในขั้นตอนต่อไป
       เมื่อท่านมีแผนการดำเนินธุรกิจที่มีความชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่ตามมาอย่างแรกเลยคือ ท่านสามารถดึงความสามารถที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ท่านจะเกิดความคิดสร้างสรรค์และมีระเบียบวินัยในการทำงานอย่างคาดไม่ถึง เพราะคนที่วางแผนไว้ตลอดในการทำงานรวมถึงทำตามแผนที่วางไว้ จะพบว่าการทำงานหรืแการดำเนินธุรกิจ จะดำเนินไปได้เรียบร้อยกว่าคนที่ไม่ได้วางแผนอะไรเลย
       ตราบใดที่ที่ท่านสามารถทำตามแผน ท่านจะค่อยๆมองเห็นหนทางที่จะทำให้แผนเป็นจริงได้ตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะฝันเป็นเศรษฐีเงินล้าน เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ หรืออะไรก็ตาม ขอให้มีแผนอย่างน้อยซัก 1 อย่าง การวางแผนเพื่ออนาคตที่ดี ก็จะตามมา และเมื่อมีการวางแผนเพื่ออนาคตที่ดีแล้ว ก็อย่าลืมวางแผนการเงินด้วยนะครับ



---------------------------------------------------------------------

เทคนิคการหาอาชีพเสริม

       สำหรับ เทคนิคการหาอาชีพเสริม นี้ ผมจะเน้นไปในเรื่องที่ว่า จะหาอาชีพเสริมทั้งทีจะต้องเป็นอาชีพที่หาเงินได้มากกว่าเดิม เพราะถ้าหาอาชีพเสริมแต่รายได้ยังน้อยกว่างานประจำที่ทำอยู่ มันก็อาจจะทำให้ท่านไม่สามารถที่จะออกมาขยับขยายเปิดตัวเป็นเจ้าของกิจการร้านค้าเองได้ และนี่จะเป็นเทคนิคเล็กๆน้อยที่จะช่วยชี้แนวทางให้ท่านได้ว่า จะหาอาขีพเสริมทั้งทีจะต้องดูจากอะไรเป็นตัวอย่าง
       เทคนิคการหาอาชีพเสริมนี้ ขอเปรียบบางสิ่งบางอย่างให้ท่านเห็นก่อนครับ อย่างเช่น ขณะที่ท่านกำลังขับรถไปทำงาน ท่านอาจจะเคยพบเห็นการขุดถนนอยู่บ่อยๆ หากการใช้จอบใช้เสียมขุด มันก็จะใช้เวลานาน ทั้งๆที่ท่านก็เป็นคนขยันทำมาหากิน มุ่งมั่นและอดทน แต่ถ้าจะขุดดินด้วยจอบอยู่ กว่าถนนจะเสร็จก็คงไม่ทันกาลพอดี การขุดถนนจึงต้องใช้รถแบ็กโฮที่มีความสะดวก รวดเร็ว ใหญ่โต และประหยัดเวลาไปเยอะ แม้ว่ามันจะลงทุนไปก็ตามแต่ไม่กี่วันหลุมที่ต้องขุดมันก็จะเสร็จเรียบร้อย
       เทคนิคการหาอาชีพเสริมนี่ก็เหมือนกันครับ การใช้เครื่องมือทำมาหากินหากใช้เครื่องมือที่สร้างรายได้เดือนละ 10,000 ท่านก็จะได้รายได้เดือนละ 10,000 แต่หากท่านใช้เครื่องมือที่สร้างรายได้เดือนละแสน ท่านก็จะได้รายได้ที่ตกเดือนละแสนเช่นเดียวกันครับ อาชีพทั่วไปก็สามารถมีเงินแสนเงินล้านได้ แต่ใช้เวลาและความสามารถไม่เท่ากัน อย่างเช่น วิศวกร นายแพทย์ ก็ต้องเรียนให้สูง มีความสามารถเฉพาะตัวมาก ถึงจะสามารถทำงานยาก และใหญ่ๆได้ จริงมั้ยครับ
       คนที่ขับรถราคาแพงๆมีบ้านหลังใหญ่โต คนที่ประสบความสำเร็จได้มากและรวดเร็วคือต้องหันมาทำธุรกิจ เท่านั้น ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ในช่วงแรกขอให้ท่านเริ่มงานในสายธุรกิจไว้ก่อน เพราะมันจะเป็นพื้นฐานให้ท่านพัฒนาไปสู่ธุรกิจที่ใหญ่ๆได้ครับ สามารถขยายสาขาได้ รายได้ก้อนใหญ่มันก็จะเกิดขึ้นมาเอง จะช้าหรือเร็วก็ต้องขึ้นอยู่กับความจริงจังของท่านเองด้วย
หากยังไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรก่อนดี ลองศึกษาการเริ่มต้นขายสินค้าออนไลน์ , การทำตลาดออนไลน์บนเฟสบุ๊ค จากเวปนี้ดูก่อนก็ได้นะครับ เพราะนี่ก็เป็นธุรกิจเล็กๆอย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่สามารถเริ่มต้นได้โดยแทบจะไม่ต้องใช้เงินลงทุน เหมาะสำหรับคนที่มีเงินลงทุนน้อยด้วยครับ
       สิ่งที่ผมอยากแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการหาอาชีพเสริมอีกอย่างนั่นก็คือ ขอให้ท่านลองศึกษาจากคนที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อเป็นแบบอย่างเสียก่อน เรียนรู้ให้มาก และนานพอ ท่านจะรู้ว่าท่านก็สามารถทำธุรกิจได้ไม่ต่างจากคนอื่น เพราะท่านก็มีพื้นฐานอยู่แล้วจากอาชีพที่ท่านทำอยู่ สำคัญที่ความจริงจังและความมุ่งมุ่นในตัวท่านเองนั่นแหละครับว่าจะถอดใจหรือจะเดินหน้าต่อเพื่อความสำเร็จ






-----------------------------------------------------------------------

สิ่งที่น่าเสียดาย

       สำหรับสิ่งที่น่าเสียดายของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้คงจะมี 3 สิ่งที่เกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง (แม้แต่ตัวผมเองทุกวันนี้ยังเสียดายเลยครับ) มาดูกันครับ ว่ามีอะไรบ้างคือสิ่งที่น่าเสียดายเมื่อเวลาได้ล่วงเลยไป
       สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดของช่วงชีวิตหนึ่งผมได้สรุปเอามา 3 สิ่งครับนั่นก็คือ
 1. เสียดายที่น่าจะรีบออกไปทำธุรกิจของตัวเอง
       คนหลายคนเมื่อต้องดจอกับสถานการณ์ทางการเงินที่เริ้มจะย่ำแย่ โดยเฉพาะคนที่ทำงานประจำ หรือว่าเป็นมนุษย์เงินเดือน จึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมไม่ลองหาทำงานเสริมอย่างอื่นดูบ้าง แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะคิดว่าต้องทำงานประจำไปก่อนเพื่อจะได้ไปปูทางไปสู่การสร้างกิจการของตัวเองได้ แต่ต้องอดทนไปก่อน  แต่เอาเข้าจริฝๆแล้วมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถนำทักษะจากงานประจำมาปูทางสู่การเป็นเจ้าของกิจการ
 2. เสียดายที่เลือกงานเพียงเพราะว่า "ได้เงินดี"
       คนที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการล้วนแต่มานั่งเสียเรื่องนี้เพราะเลือกทำงานที่ได้แค่เงินเดือนสูง ทั้งๆที่ก็รู้ว่าไม่ค่อยจะชอบงานนั้น แต่ว่าก็ไม่สามารถถอนตัวออกจากงานนี้ไปได้แล้วเพราะเหมือนกับว่ามีภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบมันติดพันมากเกินไปและก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปไหนเพราะติดตรงที่ว่าได้เงินเดือนสูง เมื่อเปลี่ยนงานหรือว่าจะลาออกไปก็ไม่รู้ว่าจะไปหางานที่ไหนที่ได้เงินเดือนแบบนี้
 3. เสียดายที่น่าจะทำธุรกิจอะไรก็ได้ที่เป็นของตัวเองมากกว่าที่จะๆปสมัครงาน
       บางคนอาจมีพื้นฐานชีวิตที่ดีพอที่จะเริ่มทำงานเป็นของตัวเอง มีโอกาสเลือกในทางเดินที่ใช่แล้ว แต่กลับไปเลือกทำงานประจำนานเกินไปจึงติดกับดัก เสียเวลาหมกมุ่นกับรางวัลหลากหลายที่ทางบริษัทมอบให้ งานที่ทำมันดีเกินกว่าที่จะทิ้งมันไป และกลัวมากที่จะเสียสถานภาพทางสังคม จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานประจำต่อไปโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความสุขนัก
       3 สิ่งนี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มานั่งเสียดายทีหลัง วันนี้อาจจะยังไม่คิดที่จะทำอะไร แต่เมื่อถ้าวันใดวันหนึ่งหากคุณเกิดไก้เป็นเจ้าของกิจการของตัวเองคุณคุณจะต้องนึกเสียดายทีหลังแน่นอนว่าทำไม ไม่เริ่มทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เสียดายเวลาทั้งหมดที่ได้เสียไปกับการทำอะไรที่ไม่ได้ตอบโจทย์ให้ชีวิตตัวเอง กว่าจะรู้ตัวอีกทีนึง ก็ไม่มีโอกาสที่จะเรียกร้องเวลาที่ผ่านไปให้กลับคืนมาได้ นี่คือสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดของช่วงชีวิตนึงของคนเราครับ 



----------------------------------------------------------------

บริหารเงินเพื่อความสำเร็จ

       การบริหารเงินเพื่อความสำเร็จ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จแบบไม่ติดขัดทางด้านการเงิน หรือจะติดขัด ก็น้อยที่สุด การบนิหารเงินเพื่อความสำเร็จนี้จะพูดถึงการแยกเงินเป็นสัดส่วน จะคล้ายๆกับการบริหารเงินของลีกาชิง มหาเศรษฐีอันดับ1 ของเกาะฮ่องกงนั่นเองครับ คราวยี้มาดูฉบับแบบคนไทยบ้างครับว่าจะแบ่งเป็นกี่ส่วนเพื่อไว้ใช้อะไรบ้าง
       การบริหารเงินเพื่อความสำเร็จนี้จะแบ่งเงินออกเป็น 4 ส่วน ตามนี้เลยครับ
 1. ไว้สำหรับจ่ายหนี้ต่างๆ บางคนต้แงจ่ายค่าบัตรเครดิต ผ่อนรถผ่อนบ้าน แต่ถ้าไม่มีภาระขนาดนั้น ก็แยกส่วนนี้เอาไว้สำหรับให้ผู้มีพระคุณ หรือจะเอาไว้ใช้สำหรับซื้อเสื้อผ้า ตกแต่งบ้าน อะไรประมาณนี้ก็ได้ครับ
 2. เงินใช้จ่ายในครอบครัว คือแบ่งส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่างและที่ทำงานด้วย หากคุณมีลูกน้องก็เลีเยงลูกน้องบ้างตามความสมควรครับ
 3. สำหรับทำบุญบ้างก็ดี เพราะ "บุญ" นั้นถือเป็นต้นทุนของชีวิตอย่างหนึ่ง เพราะบุญเป็นบาทฐานที่ดีของชีวิตเสมอ ไม่มีร่ำรวยหรือโชคดีได้ถ้าไม่มีบุญคอยสนับสนุนค้ำจุน แม้แต่มหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง Bill Gates, Steve Jops, Waren Buffet. มีความเชื่อเรื่องกรรมเป็นอย่างมาก พวกเขามักทำบุญบริจาคทานอยุ่เสมอตามกำลังที่ตัวเองมีตั้งแต่อายุยังน้อยๆ พวกเขามักสอนคนรุ่นใหม่อยู่เสมอว่า " จงรีบทำบุญสร้างบุญตั้งแต่วัยหนุ่มสาวหรือตอนที่ยังมีแรงดีอยู่ ก่อนที่จะไม่มีแรงไปสร้างบุญ "
 4. เก็บเงินส่วนหนึ่งเพื่อไว้เตรียมลงทุน
       ข้อนี้จะคล้ายๆกับข้อ3. แต่ว่าการลงทุนในข้อนี้คือนำเงินไปลงทุนในตลาดการเงิน ทางเศรษฐศาสตร์ในรูปแบบต่างๆ เพราะคนเราไม่สามารถใช้แรงไปหาเงินได้ตลอดชีวิต จำเป็นต้องใช้ "เงินต่อเงิน"  คือให้เตรียมเงินที่เหลือจากค่าใช้จ่ายแต่ไม่ใช่เงินที่ออมเอาไว้เพื่อการลงทุนในอนาคต
       จากหัวข้อที่กล่าวมาแล้วเรื่องการบริหารเงินเพื่อความสำเร็จในอนาคตนี้ ผมขอยกตัวอย่างให้ดูด้วยละกันครับ จะได้เข้าใจกันได้ถูกต้องตามนี้หรือว่าจะศึกษาเรื่องการวางแผนการเงินก็สามารถหาดูได้จ่กเว็ปนี้เหมือนกันครับ
       ถ้าเกิดเกิดว่าตอนนี้เรามีเงินเดือนเดือนละ 12,000 บาท ก็แบ่งตามข้อข้างบนเลยครับ
 1. เงินใช้หนี้ 50% จะเป็นเงิน 6,000 บาท
 2. ค่าใช้จ่ายส่วนตัว เลี้ยงตัวเอง คิดเป็น 45% เป็นเงิน 5,400 บาท
 3. เงินไว้ทำบุญทุกรูปแบบ 3% คิดเป็นเงิน 360 บาท
 4. เงินไว้สำหรับเตรียมลงทุน 2% คิดเป็นเงิน 240 บาท
       ถ้ามาคิดรวมกันแล้วก็จะได้ 12,000 บาทพอดี หากท่านสามารถบริหารเงินที่อยู่จากเงินเก็บได้แบบนี้แล้ว ต่อไปการเงินของท่านจะเริ่มมีระบบมากขึ้น อัตราส่วนในการใช้จ่ายก็จะเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  เศรษฐีส่วนใหญ่ก็ยังมีหนี้สินที่ต้องจ่ายแบบเรา พวกเขาก็ใช้วิธีการบริหารเงินเพื่อความสำเร็จให้กับตัวเองทั้งนั้น ตัวเลขที่ผมสมมติขึ้นมานี้ ท่านสามารถนำไปปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับตัวเองได้เลยนะครับ
       "เพียงแค่เปลี่ยนความคิดตัวเองเสียใหม่ ท่านก็บริหารเงินได้อย่างมั่นคง สมกับคำที่ว่า "คิดแล้วรวย" นั่นเองครับ"
       




(------------------------------------------------------------------------------------------------------)
.-----.

|.............|

ประเภทของรายได้

       ถึงอย่างไรก็ตามคนในสังคมส่วนใหญ่ ยังไมีได้มีชีวิตที่ใช่และใจที่ยังไม่ชอบในสิ่งที่ทำอยู่ นี่คือเหตุผลข้อแรกที่ท่านควรจะต้องพยายามทำอะไรเพิ่มอีกซักอย่าง เพื่อไปให้ถึงในสิ่งที่ต้องการ ตามหลักการประกอบอาชีพให้สำเร็จ ซึ่งถ้าเรามองหลักในการหาเงิน ก็จะมีประเภทของรายได้ที่ถูกแบ่งออกไว้เป็น 4 ประเภท

       ประเภทของรายได้ในสังคมไทยหรือสังคมโลกตอนนี้จะมีอยู่ 4 ประเภทครับ
 1. ประเภทมนุษย์เงินเดือน หรือค่าจ้าง หรือค่าแรง ที่รับจ้างทำงานจากนายจ้าง ไม่ว่าจะมีตำแหน่งสูงเป็นระดับผู้บริหารหรือระดับล่างที่ใช้แรงงาน หากต้องทำงานอยู่ในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง และรับค่าจ้างจากการทำงานนั้น ตามระยะเวลาที่นายจ้างเป็นคนกำหนด ก็จะมีรายได้ตามที่นายจ้างกำหนดไว้เท่านั้น
 2. ประเภทที่สองคือ การมีรายได้จากธุรกิจของตัวเอง มีหลายคนที่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือลูกจ้างที่เคยทำงานให้กับบริษัท หรือองค์กรต่างๆจนเกิดความชำนาญ และนำความรู้บวกกับประสบการณ์เหล่านั้น มาประกอบเป็นอาชีพอิสระเลี้ยงตัวเอง
 3. ประเภทที่สามคือ มีรายได้จากกิจการที่คุณเป็นเจ้าของ คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจจะมีความแตกต่างกับเจ้าของกิจการส่วนตัวตรงที่รายได้ของเขาจะมาจากหลายๆทางืและไม่ต้องลงมือทำงานเองทั้งหมด แต่สามารถก่อให้เกิดรายได้อย่างมหาศาล อย่างเช่น 7-11 ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เจ้าสัวซีพี แทบไม่ต้องทำอะไรเลย มีสาขา 7-11 มากมาย มีพนักงานที่คอยทำหน้าที่แทนอีกมากมายเช่นกัน และยังสามารถก่อให้เกิดรายได้อย่างมหาศาล เป็นต้น
 4. ประเทภของรายได้ประเภทที่สี่คือ มีรายได้จากการลงทุนต่างๆ
     นักลงทุนจะมีรายได้อย่างมหาศาลและจะไม่ลงมือทำงานใดๆเอง แต่จะใช้เงินทำงานแทนตนเอง โดยการ นำเงินไปลงทุนกับสถาบันการเงิน ธนาคาร หรือตลาดหุ้น ให้เงินต่อเงิน แล้วเกิดรายได้ขึ้นมา ซึ่งคนเหล่านี้จะมีหลักการ มีความคิดที่ลึกซึ้ง และมีความรู้มากพอที่จะนำเงินไปลงทุน เพราะสิ่งเดียวที่เขาต้องการคือ "กำไร" นั่นเอง ที่ต้องใช้ความชำนาญประสบการณ์เป็นอย่างสูง แต่ว่าก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
       จะเห็นได้ว่าประเภทของรายได้ทั้งสี่ประเภทนี้แต่ละคนที่ทำงาน สามารถที่จะเลือกยืนอยู่ได้ในทุกด้าน ไม่ใช่ด้านใดด้านหนึ่ง และทุกคนสามารถหาเงินได้จากทั้งสี่ด้าน
       ประเภทของรายได้ทั้งสี่ประเภทนี้ ที่จริงแล้วก็ไม่มีประภทไหนที่ดีกว่ากันเสมอไปหรอกครับ เพราะแต่ละประเภทก็ล้วนแต่มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองนั่นแหละครับ ว่าจะเลือกเป็นอะไร หากคุณเริ่มเบื่อกับการเป็นลูกจ้าง ก็ลองมองหาทางเลือกอื่นเพิ่ม เพื่อจะก้าวไปสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจหรือนักลงทุนต่อไปครับ


--------------------------------------------------------------------